จีนลบโพสต์ในสื่อโซเชียลข่าวเด็กตายที่สถานกักโรคโควิด
ปักกิ่ง 21 ต.ค. – จีนลบโพสต์และคลิปวิดีโอในสื่อโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีเด็กหญิงวัยรุ่นชาวจีนเสียชีวิตในสถานกักตัวโรคโควิด-19 หลังเหตุดังกล่าวทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจและตั้งข้อสงสัยต่อนโยบายทำให้ยอดผู้ป่วยโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน หน่วยงานด้านเซ็นเซอร์ของจีนได้ลบโพสต์และคลิปวิดีโอเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีเด็กหญิงชาวจีน วัย 14 ปี เสียชีวิตที่สถานกักโรคโควิด-19 ในเขตหรู่โจวของมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของจีน ที่เผยแพร่ในโลกอินเทอร์เน็ตของจีนเกือบทั้งหมดเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงแฮชแท็กในเวย์ปั๋ว แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังของจีนแบบเดียวกันกับทวิตเตอร์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหญิงจากเขตหรู่โจวและเด็กหญิงจากเขตหรู่โจวที่เสียชีวิตในสถานกักโรคโควิด ทั้งนี้ แฮชแท็กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหญิงจากเขตหรู่โจวมีผู้เข้าชมกว่า 255,000 ครั้งและมีโพสต์รวมทั้งหมด 158 โพสต์นับถึงช่วงเช้าของวันนี้ ก่อนถูกหน่วยงานเซ็นเซอร์ของจีนลบทิ้งจนเหลือเพียง 4 โพสต์ และถูกปิดกั้นการเข้าถึงโพสต์ดังกล่าวทั้งหมดในเวลาต่อมา ก่อนหน้านี้ โพสต์ในสื่อโซเชียลมีเดียของจีนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ต่างพากันพูดถึงกรณีที่มีเด็กหญิง วัย 14 ปี เสียชีวิตที่สถานกักโรคโควิดในเขตหรู่โจวของมณฑลเหอหนาน เนื่องจากมีอาการล้มป่วยหนักขึ้นในสถานกักโรคโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที คลิปวิดีโอที่เผยแพร่ผ่านโต่วอิน หรือติ๊กต๊อกที่ใช้เฉพาะในจีน เผยให้เด็กภาพเด็กคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงในสถานกักโรคและมีอาการชักท่ามกลางเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนรอบข้างที่อยู่ในเหตุการณ์ บุคคลไม่เผยนามที่อ้างตัวว่าเป็นป้าของเด็กหญิงคนดังกล่าวระบุในอีกคลิปวิดีโอว่า ตอนแรกหลานสาวของเธอมีอาการปกติดี แต่มีไข้สูงหลังจากที่เข้าไปอยู่ในสถานกักโรคได้ 4 วัน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งยังระบุว่า หลานสาวมีอาการชักรุนแรง อาเจียน มีไข้สูง แต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานกักโรคทั้งที่มีอาการเข้าขั้นวิกฤต อย่างไรก็ดี สำนักงานท้องถิ่นและหน่วยงานควบคุมโรคโควิดของเขตหรู่โจวยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ จีนถือเป็นประเทศขนาดใหญ่ของโลกเพียงประเทศเดียวที่ยังคงยึดมั่นในนโยบายทำให้ยอดผู้ป่วยโควิดเป็นศูนย์อย่างเคร่งครัด แม้มีรายงานพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลกก็ตาม.-สำนักข่าวไทย