กรุงเทพฯ 15 พ.ค.-บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ไตรมาส 1 ปี 2566 ยังเติบโตต่อเนื่อง ฟันกำไร 1,448 ล้านบาทจากโครงการที่ลงทุนใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ ประกาศเดินหน้าแผนการลงทุนตามเป้า เพิ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกปีนี้บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่ลงทุนใหม่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง 98 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมลินคอล์น แก็ป 1&2 กำลังผลิตรวม 212 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสแนปเปอร์ พอยท์ ขนาด154 เมกะวัตต์ ในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังน้ำค๊อคซาน 17.37 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำซ็องเกียง2 กำลังผลิต17.10 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม รวมเป็นเงินประมาณ 1,479 ล้านบาท ซึ่งช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธุรกิจไฟฟ้ายังคงสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ เป็นจำนวน 16,494 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97 ของรายได้รวมโดยเป็นรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล จำนวน 14,603 ล้านบาท (ร้อยละ 88.5) และรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จำนวน 1,891 ล้านบาท (ร้อยละ 11.5) ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-Power เริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น โดยไตรมาสนี้มีจำนวน 511 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3 ของรายได้รวม ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถดำเนินงานก้าวหน้าได้ตามแผน โดยส่วนขยายของโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น ขนาดกำลังการผลิต 31.2 เมกะวัตต์เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์จำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมแล้วและโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร ขนาด 59 เตียง ได้เปิดให้บริการแล้วเช่นกัน สำหรับการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน กำลังการผลิตติดตั้ง 2,045 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ซึ่งบริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ นอกจากนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2567 จำนวน 8 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 518.66 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าตามแผนงาน สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง อยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังก้า ในฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 36.33 เมกะวัตต์กำลังดำเนินการจัดหาเงินกู้โครงการและจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในเดือนมิถุนายน ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นความสำเร็จในการบุกเบิกธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์ “บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าต้องการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ ทั้งประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะเน้นเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก และพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ ในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ส่วนธุรกิจ Non-Power บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย การผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ กลุ่มประเทศยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และขยายฐานธุรกิจด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็บริหารประสิทธิภาพสินทรัพย์ เพื่อสร้างความมั่นคงของกระแสเงินสดและรายได้ พร้อมทั้งจัดเตรียมแผนการจัดหาเงินทุนโดยพิจารณาเครื่องมือทางการเงินและต้นทุนที่เหมาะสมกับประเภทโครงการ ซึ่งจะช่วยให้แผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้” นางสาวชูศรี กล่าว ผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 17,005 ล้านบาท ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 15,310 ล้านบาท และกำไรส่วนของบริษัท 1,448 ล้านบาท สำหรับฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 224,500 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 118,035 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 106,465 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.11 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นร้อยละ 7.36 .-สำนักข่าวไทย