01 พฤศจิกายน 2567
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ข้อมูลที่ถูกแชร์ :
ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม 2024 รัฐทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะรัฐฟลอริดา ประสบภัยจากพายุเฮอริเคนถึง 2 ลูกติดต่อกัน นำไปสู่การกล่าวอ้างว่า สาเหตุของพายุเฮอริเคนเกิดจากกระบวนการที่เรียกว่าการทำ Cloud Seeding ที่เชื่อว่าสามารถสร้างหรือกำหนดทิศทางของพายุเฮอริเคนได้ โดยอ้างว่าในอดีตทางการสหรัฐฯ ก็เคยทดลองใช้เทคนิค Cloud Seeding เพื่อเปลี่ยนแปลงเส้นทางพายุเฮอริเคน และเคยใช้สร้างความได้เปรียบระหว่างสงครามเวียดนามมาแล้วเช่นกัน
บทสรุป :
- Cloud Seeding คือการทำฝนเทียม
- Cloud Seeding ไม่สามารถให้กำเนิด เปลี่ยนเส้นทาง หรือทำลายพายุเฮอริเคนได้
- สภาวะโลกร้อนส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น
FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :
Cloud Seeding คือการเพาะเมฆหรือการทำฝนเทียม ด้วยการนำอนุภาคขนาดเล็กของ Silver Iodide หรือ Solid Carbondioxide (น้ำแข็งแห้ง) โปรยลงไปบนก้อนเมฆเพื่อกระตุ้นการควบแน่นให้เกิดเป็นน้ำฝนหรือหิมะ ใช้เพื่อผลิตน้ำฝนหรือหิมะในพื้นที่แห้งแล้ง หรือใช้ป้องกันการเกิดน้ำท่วม ด้วยการทำ Cloud Seeding เพื่อเร่งให้ฝนตกในทะเลก่อนจะมาตกในเขตพื้นที่ชุมชน
อย่างไรก็ดี Cloud Seeding ไม่สามารถให้กำเนิด เปลี่ยนเส้นทาง หรือทำลายพายุเฮอริเคนได้
Project Cirrus จุดกำเนิดโครงการ Cloud Seeding หวังลดความรุนแรงเฮอริเคน
เมื่อปี 1947 มีความร่วมมือระหว่างบริษัท General Electric และหน่วยงานของกองทัพบกสหรัฐฯ ทบวงทหารเรือสหรัฐฯ และกองทัพอากาศสหรัฐฯ ทดลองใช้ Cloud Seeding ลดทอนความรุนแรงของพายุเฮอริเคน ในโครงการที่รู้จักในชื่อ Project Cirrus
เป็นการทดลองปรับเปลี่ยนเส้นทางของพายุเฮอริเคนคิงซึ่งพัดขึ้นฝั่งที่รัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1947
หลังจากพายุพัดออกทะเลไปแล้วในวันถัดมา มีการนำเครื่องบินขนน้ำแข็งแห้งปริมาณ 82 กิโลกรัมขึ้นไปโปรยบนก้อนเมฆที่อยู่เหนือพายุ
หลังจากนั้นปรากฏว่า พายุเกิดการเปลี่ยนเส้นทางและพัดมาทางทิศตะวันตก และพัดขึ้นฝั่งในรัฐจอร์เจียเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1947 สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
แม้จะมีการโจมตีว่า Project Cirrus ทำให้พายุเปลี่ยนเส้นทางและมีกำลังแรงขึ้น แต่ไม่มีหลักฐานว่าการเปลี่ยนเส้นทางของพายุเฮอริเคนเป็นเพราะการ Cloud Seeding หรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากมีหลักฐานพบว่า พายุเริ่มเปลี่ยนเส้นทางก่อนที่จะมีการทำ Cloud Seeding เช่นกัน
ความล้มเหลวของโครงการ Project Stormfury
ระหว่างปี 1962-1983 มีความพยายามลดความรุนแรงของพายุเฮอริเคนด้วยการ Cloud Seeding โดยองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) จากสมมติฐานการใช้อนุภาคขนาดเล็กของ Silver Iodide ไปแทรกแซงการก่อตัวของพายุจากโครงสร้างภายใน ด้วยการทำให้ไอน้ำที่เย็นจัดในพายุจับตัวเป็นน้ำแข็ง
แต่สมมติฐานดังกล่าวไม่เป็นจริง เนื่องจากภายในโครงสร้างของพายุเฮอริเคนไม่มีปริมาณไอน้ำเย็นจัดมากพอที่จะทำให้ Cloud Seeding เกิดผล และพบว่าพายุเฮอริเคนทั่วไปก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในไม่ต่างจากพายุเฮอริเคนที่ผ่านการ Cloud Seeding เช่นกัน
จนปฏิบัติการต้องสิ้นสุดในปี 1983 เมื่อการทดลองได้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน และไม่อาจสรุปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในพายุเฮอริเคน เกิดจากการทำ Cloud Seeding หรือเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้น
Operation Popeye การทำฝนเทียมในสงครามเวียดนาม
ระหว่างสงครามเวียดนามปี 1967–1972 มีรายงานว่ากองทัพสหรัฐฯ ใช้การทำ Cloud Seeding เพื่อเร่งให้เกิดฝนตกหนักบริเวณเส้นทางลำเลียงเสบียงของกองทัพเวียดนามเหนือ เพื่อให้ฝนทำให้สภาพถนนย่ำแย่และเกิดดินถล่ม
แม้ภายหลังจะมีการร่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ห้ามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเหตุผลทางการทหาร แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการทำ Cloud Seeding ในระหว่างสงครามเวียดนามประสบความสำเร็จหรือไม่
อดีตเจ้าหน้าที่ Project Stormfury ยืนยัน Cloud Seeding ควบคุมเฮอริเคนไม่ได้
ฮิวจ์ วิลโลบี อดีตเจ้าหน้าที่ของ Project Stormfury ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาโลกและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฟลอริดาอินเตอร์เนชันแนล และเป็นอดีตหัวหน้าศูนย์วิจัยพายุเฮอริเคนของ NOAA อธิบายว่า ปัจจุบันไม่มีความพยายามดัดแปลงพายุเฮอริเคนในหน่วยงานของสหรัฐฯ หรือมีเทคโนโลยีเพียงพอที่จะทำได้ เนื่องจากพายุเฮอริเคนมีพลังงานที่มหาศาลอย่างมาก
มาร์ค โบรัสซา ศาสตราจารย์ภาควิชาอุตุนิยมวิทยา มหาวิทยาลัยฟลอริดาอินเตอร์เนชันแนล ย้ำว่า ไม่มีวิศวกรธรณีวิทยาใดสามารถเปลี่ยนแปลงพายุเฮอริเคนได้ เนื่องจากพายุเฮอริเคนมีพลังงานมหาศาล แม้แต่ระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถยับยั้งพายุเฮอริเคนได้
โมนิกา อัลเลน ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ NOAA ชี้แจงว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใด ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเกิดพายุเฮอริเคนเฮลีนและพายุเฮอริเคนมิลตัน เนื่องจากเป็นพายุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ในเว็บไซต์ของ NOAA เปรียบเทียบว่า เมื่อถึงวันที่มนุษยชาติสามารถเดินทางข้ามดวงดาวด้วยความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสง เมื่อนั้นเราก็คงจะมีแหล่งพลังงานที่มากพอจะแทรกแซงพลังอันมหาศาลของพายุเฮอริเคนได้
สภาวะโลกร้อนส่งผลให้พายุรุนแรงขึ้น
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนทำให้พายุมีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อมูลจากการศึกษาพายุเฮอริเคนเฮลีนและพายุเฮอริเคนมิลตันเบื้องต้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้พายุทั้ง 2 มีปริมาณน้ำฝนมากขึ้นและมีความเร็วลมมากขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.politifact.com/factchecks/2024/sep/27/instagram-posts/hurricane-helene-was-not-a-product-of-weather-modi/
https://www.politifact.com/factchecks/2024/oct/10/facebook-posts/no-cloud-seeding-wasnt-used-to-create-hurricane-mi/
https://www.reuters.com/fact-check/false-rumor-says-hurricane-milton-is-product-weather-control-2024-10-09/
https://www.factcheck.org/2024/10/baseless-claims-proliferate-on-hurricanes-and-weather-modification/
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter