นายกฯ จัดงานเลี้ยงนักกีฬาเอเชียนเกมส์-เอเชียนพาราเกมส์

กทม. 7 พ.ย.-รัฐบาลไทย จัดงานเลี้ยงฉลองชัยความสำเร็จทัพนักกีฬาไทยชุดเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 และเอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ณ เมืองหางโจว ประเทศจีน พร้อมมอบเงินรางวัลอัดฉีดจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) รวมทั้งสิ้น 353,925,000 บาท

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในงานเลี้ยงฉลองชัยมอบเงินรางวัล และแสดงความยินดีให้แก่ นักกีฬา ผู้ฝึกสอน สมาคมกีฬา และคณะเจ้าหน้าที่ ชุดเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 และกีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ณ เมืองหางโจว ประเทศจีน โดยมี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี, นายณณัฐ หงส์ชูเวช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายกิตติ เชาวน์ดี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายอารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) เข้าร่วมงานด้วย


ภายในงานยังมี พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย ร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกเเห่งประเทศไทย, พล.ต.โอสถ ภาวิไล เลขาธิการคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย และประธานสหพันธ์กีฬาคนพิการแห่งอาเซียน พร้อมด้วยผู้บริหารของแต่ละสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย นำคณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมรับรางวัล

ผลงานของทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 คว้ามาได้ 12 เหรียญทอง 14 เหรียญเงิน 32 เหรียญทองแดง จบอันดับ 8 ของตารางรวมเหรียญรางวัล ขณะที่ในกีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 คว้ามาได้ 27 เหรียญทอง 26 เหรียญเงิน 55 เหรียญทองแดง จบเป็นอันดับที่ 7 ของตารางรวมเหรียญรางวัล


เมื่อพิธีการเริ่มขึ้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชมวิดีทัศน์ภาพรวมเกี่ยวกับนักกีฬาไทยในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 และกีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ก่อนมอบเงินรางวัล และของที่ระลึกแก่นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัล พร้อมกับมอบของที่ระลึกให้กับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และร.ท.ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกเเห่งประเทศไทย จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยจากการแข่งขันทั้ง 2 มหกรรมกีฬาระดับเอเชีย รวมทั้งแนวทางการพัฒนาวงการกีฬาไทยต่อไปในอนาคต

นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวว่า ภารกิจของนายกรัฐมนตรีมีหลายอย่าง และภารกิจที่อยากมาด้วยความเต็มใจเป็นพิเศษคือ การกีฬา เพราะชอบเล่นกีฬา ให้เกียรติ มีความปรารถนาดีกับการกีฬามาตลอดตั้งแต่เป็นภาคเอกชนมาจนถึงรัฐบาล สำหรับผลงานของนักกีฬาไทยเอเชียนเกมส์ และเอเชียนพาราเกมส์ ถือว่าประสบความสำเร็จ บางกีฬาอาจผิดหวังบ้าง บางกีฬาทำได้เกินคาด รัฐบาลจึงได้จัดงานแสดงความยินดีชื่นชมเป็นขวัญกำลังใจให้กับนักกีฬาที่นำธงชาติไทยไปโบพสะบัดที่ประเทศจีน ซึ่งผลงานอันดับ 8 ในเอเชียนเกมส์ ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประชากรไทย และสูงเกินความคาดหมาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลพร้อมหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนให้กับวงการกีฬาที่ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ซึ่งจะต้องพัฒนาเชิงพื้นฐานอีกมาก ปัจจัยที่ขาดไม่ได้คือแหล่งเงินทุน ความเอาใจใส่จากภาครัฐในการดูแลที่เหมาะสม และเสมอภาค รวมทั้งเรื่องผู้ฝึกสอน ยืนยันว่ารัฐบาลจะแหาแหล่งเงินทุนเป็นขวัญกำลังใจให้กับนักกีฬา และได้จัดทำโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจพลัส รวมทั้งแต้งตั้งที่ปรึกษาด้านกีฬา เพื่อพัฒนาวงการกีฬา โดยตั้งใจว่าเงินที่นักกีฬาจะได้รับจะสูงขึ้นแน่นอน เช่นเดียวกับนักฬาคนพิการที่จะยกระดับค่าตอบแทนให้สูงขึ้น ทั้งกลไกการจ้างงาน และสิทธิประโยชน์ด้านภาษี


“ขอบคุณภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ ที่เข้ามาดูแลวงการกีฬา ครั้งนี้เป็นนิมิตรหมายที่ดีให้นักธุรกิจได้เข้ามาแข่งขันกันพัฒนานักกีฬาให้ประสบความสำเร็จในเวทีโลก ผมขอให้นักกีฬาทุกคนอย่างลดความพยายาม และมุ่งมั่นตั้งใจในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป” นายกรัฐมนตรี

สำหรับทัพนักกีฬาทีมชาติไทย และทัพนักกีฬาคนพิการไทยได้รับเงินรางวัลจากการแข่งขันรวมทั้งหมด 353,925,000 บาท ประกอบด้วย ผลงานในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 คว้ามาได้ 12 เหรียญทอง 14 เหรียญเงิน 32 เหรียญทองแดง โดยตามหลักเกณฑ์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จะได้รับเงินรางวัล เหรียญทองละ 2 ล้านบาท, เหรียญเงินละ 1 ล้านบาท และเหรียญทองแดงละ 500,000 บาท สรุปเหรียญรางวัลของนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 244,200,000 บาท แบ่งแยกตามแต่ละสมาคมกีฬา ดังนี้
1.สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 10,500,000 บาท
2.สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 18,000,000 บาท
3.สมาคมกีฬาแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 8,250,000 บาท
4.สมาคมกีฬาคาราเต้แห่งประเทศไทย 1,500,000 บาท
5.สมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2,250,000 บาท
6.สมาคมกีฬาคูราชแห่งประเทศไทย 1,500,000 บาท
7.สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย 4,500,000 บาท
8.สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย 86,800,000 บาท
9.สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย 7,500,000 บาท
10.สมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 1,500,000 บาท
11.สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย 3,750,000 บาท
12.สมาคมกีฬาบริดจ์แห่งประเทศไทย 4,500,000 บาท
13.สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 6,300,000 บาท
14.สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย 7,500,000 บาท
15.สมาคมกีฬายิงเป้าบินแห่งประเทศไทย 2,250,000 บาท
16.สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย 3,750,000 บาท
17.สมาคมกีฬายูยิตสูแห่งประเทศไทย 1,500,000 บาท
18.สมาคมกีฬาเรือพายแห่งประเทศไทย 44,450,000 บาท
19.สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย 8,400,000 บาท
20.สมาคมกีฬาวินด์เซิร์ฟแห่งประเทศไทย 5,250,000 บาท
21.สมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย 1,500,000 บาท
22.สมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย 12,750,000 บาท
ขณะที่ทัพนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานในกีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 คว้ามาได้ 27 เหรียญทอง 26 เหรียญเงิน 55 เหรียญทองแดง โดยตามหลักเกณฑ์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จะได้รับเงินรางวัล เหรียญทองละ 1 ล้านบาท, เหรียญเงินละ 500,000 บาท และเหรียญทองแดงละ 250,000 บาท สรุปเหรียญรางวัลของนักกีฬาคนพิการ ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬา ได้รับเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 109,725,000 บาท แบ่งแยกตามแต่ละสมาคมกีฬา ดังนี้
1.สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทยฯ 86,400,000 บาท
2.สมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย 10,875,000 บาท
3.สมาคมกีฬาคนพิการทางปัญญาแห่งประเทศไทย 3,000,000 บาท
4.สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย 9,450,000 บาท

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.แจงปมขอรับบริจาคลวดหนาม จำเป็นต้องใช้เร่งด่วน

กองทัพบก 13 ส.ค.- โฆษก ทบ. แจงกองทัพภาค 2 ขอรับบริจาค “ลวดหนามหีบเพลง” เหตุจำเป็นต้องใช้เร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยกำลังพล สกัดการลักลอบเข้าพื้นที่ของทหารกัมพูชา ชี้หากรอกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ใช้เวลา 1 เดือน ย้ำรัฐบาล-กองทัพ มีงบประมาณเพียงพอ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ขอให้กองทัพภาคที่2 หยุดรับบริจาคลวดหนามหีบเพลงจากประชาชน และให้มาขอกับรัฐบาลว่า ยืนยันรัฐบาลและกองทัพมีงบประมาณเพียงพอ แต่ติดขัดในกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน และหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบ อาจทำให้ผู้จัดซื้อมีความผิด ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องใช้ลวดหนามหีบเพลงทันที โดยเฉพาะ 4 จังหวัดชายแดน “อุบลฯ-ศรีสะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์” จึงต้องขอรับการสนับสนุนจากประชาชน “การจัดซื้อต้องเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่วิธีจัดหาใช้แบบพิเศษได้ แต่ก็ใช้เวลาเป็นเดือน ที่สำคัญ กรณีลวดหีบเพลงสเปกที่ทหารใช้ ไม่มีในท้องตลาดต้องสั่งผลิตจึงใช้เวลานานขึ้นไปอีก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ งบประมาณมีอย่างเพียงพอ มีแค่เรื่องเวลา” โฆษก ทบ. กล่าวและว่า […]

โรงเรียน-โรงพยาบาลในอุบลฯ เปิดวันแรก หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

13 ส.ค. – ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ (13 ส.ค.) ยังปกติ ชาวบ้านติดชายแดนต่างวิตก หวั่นเกิดการปะทะ จึงเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมหากต้องอพยพออกจากพื้นที่ ส่วนโรงเรียน-โรงพยาบาล ใน จ.อุบลราชธานี เปิดวันแรก ทำเอาชาวบ้านอยู่ไม่ได้ หลังมีกระแสข่าวว่าจะเกิดการยิงกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนชาวบ้านต้องขนของอพยพออกจากบ้านกลางดึก เพื่อมาตั้งหลักในตัว อ.กันทรลักษ์ แต่หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจึงเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน แต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ ออกไปพักบ้านญาติพี่น้องต่างอำเภอ สำหรับสถานที่ราชการในตัว อ.กันทรลักษ์ วันนี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ส่วนโรงเรียนบางแห่งประกาศให้เรียนทางออนไลน์แทน เพื่อความปลอดภัย โรงเรียนชายแดน จ.สุรินทร์ ปิดต่อ ให้เรียนออนไลน์เช่นเดียวกับ จ.สุรินทร์ โรงเรียนชายแดนยังปิดต่อ และให้เรียนออนไลน์แทน เพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนผู้ปกครองกังวลถ้ายังเปิดเรียนในช่วงสถานการณ์ยังไม่สงบและไม่ปลอดภัย 100% ส่วนในพื้นที่ อ.พนมดงรัก โรงเรียนประถมฯ บางโรงประกาศให้มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ช่วงวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ และมีบางโรงเรียนที่กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว แต่ไม่บังคับว่านักเรียนต้องมาเรียนทุกคน โดยมีการแจ้งใน LINE กลุ่มผู้ปกครองว่าหากผู้ปกครองท่านใดยังมีความกังวลใจก็อนุญาตให้เด็กลาได้ ส่วนชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ […]

South Korea Leader and wife at Presidential plane Apr 2023

เกาหลีใต้จับอดีตสตรีหมายเลข 1

โซล 13 ส.ค.- นางคิม คอน ฮี อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ ถูกควบคุมตัวตามที่ศาลออกหมายจับเมื่อค่ำวานนี้ หลังจากอัยการยื่นขอหมายจับเพราะเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวนในคดีที่ถูกกล่าวหาหลายคดี นางคิม ซึ่งจะมีอายุครบ 53 ปีในเดือนกันยายน เป็นอดีตสตรีหมายเลข 1 คนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุม ขณะที่สามีของเธอ คือ อดีตประธานาธิบดียุน ซอก ยอล วัย 64 ปี กำลังถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี หลังจากถูกถอดถอนจากตำแหน่งกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปี 2567 ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันนางคิมได้โค้งคำนับและไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวขณะเดินทางถึงศาล จากนั้นไปรอฟังคำตัดสินที่สถานกักขังในกรุงโซลตามธรรมเนียมปฏิบัติของเกาหลีใต้ โฆษกคณะอัยการพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นเดือนมิถุนายนแถลงว่า อัยการยื่นขอหมายจับนางคิม เนื่องจากเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวน สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้รายงานว่า ศาลอนุมัติหมายจับตามคำแถลงเรื่องเธอมีความเสี่ยงที่จะทำลายหลักฐาน อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ถูกตั้งข้อหาหลายคดี ตั้งแต่การปั่นหุ้นไปจนถึงการรับสินบนและการใช้อิทธิพลแทรกแซงอย่างผิดกฎหมายที่พัวพันกับเจ้าของธุรกิจ บุคคลทางศาสนา และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เธอถูกกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเรื่องสร้อยคอประดับจี้ยี่ห้อหรูที่สวมไปร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่สเปน พร้อมกับสามีในปี 2565 เนื่องจากไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สินจี้ดังกล่าวที่มีข่าวว่าราคาสูงกว่า 60 ล้านวอน (กว่า 1.4 ล้านบาท) เธอให้การกับอัยการว่าเป็นของปลอมที่ซื้อในฮ่องกงเมื่อ […]

สภาถกงบฯ 69 วันแรก “พิชัย” แจงหั่นงบ 8,920 ล้าน

รัฐสภา 13 ส.ค. – ที่ประชุมสภาฯ เริ่มถกงบฯ 69 วันแรกแล้ว “พิชัย” แจงรายงาน กมธ. เหตุหั่นงบ 8,920 ล้านบาท เพราะไม่สอดคล้องภาาวะปัจจุบัน-การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ในการประชุมสภาฯ เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จเป็นวันแรก โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาร่างงบประมาณ 69 เรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินภารกิจเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคแห่งชาติ เป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง โดยพิจารณาตามความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ และแผนพัฒนาพื้นที่ตามความต้องการของประชาชน […]