กรุงเทพฯ 10 เม.ย. – กรมสุขภาพจิต ชวนคนไทยตระหนักถึงความเครียดของเยาวชน เพราะสามารถส่งผลต่อการก่อความรุนแรงในครอบครัวได้
วันนี้ (10 เมษายน 2565) กรมสุขภาพจิต สะท้อนสถานการณ์วัยรุ่นมีแนวโน้มความเครียดสูงขึ้นมาก โดยสูงกว่าในกลุ่มวัยทำงานถึง 4 เท่า พร้อมย้ำเตือนครอบครัวและสังคมสามารถช่วยยับยั้งปัญหาดังกล่าวได้ หากให้ความใส่ใจความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของสมาชิกในครอบครัว เรียนรู้ร่วมกัน เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง โดยไม่นำไปสู่ความรุนแรง
พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มักจะถูกเพิกเฉย เพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จึงขอให้สังคมอย่าปล่อยปละให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันมีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ที่ให้การคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหา โดยเจตจำนงที่สำคัญก็เพื่อให้สังคมสามารถช่วยเหลือกัน ซึ่งเมื่อท่านใดพบเห็นความรุนแรงในครอบครัวสามารถแจ้งตำรวจ หรือในชนบทเองสามารถแจ้งได้ทั้งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน เพื่อทำการช่วยเหลือได้ทันที วงจรการทำร้ายกันในครอบครัวก็จะสิ้นสุดลง แต่สิ่งสำคัญที่สุด คนในชุมชนอย่านิ่งเฉย และอย่ายอมให้มีการทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งนี้ การเกิดความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีลูกวัยรุ่น มักมีที่มาจากปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบคิดเอง ทำเอง พึ่งตนเอง ไม่ชอบที่จะถูกบังคับ รวมทั้งเป็นช่วงที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย อีกทั้งในภาวะปัจจุบันจากผลสำรวจของ Mental Health Check In พบว่า วัยรุ่นมีแนวโน้มความเครียดสูงขึ้นมาก โดยระดับความเครียดในรอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยังสูงกว่าในกลุ่มวัยทำงานถึง 4 เท่า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมก่อความรุนแรง นอกจากขัดใจในเรื่องของความรัก ยังมีเรื่องการเรียน การใช้จ่าย รวมไปถึงการใช้เวลากับสิ่งที่เด็กสนใจ แต่ถูกตำหนิ เพราะเหมือนหมกมุ่นในสายตาผู้ใหญ่ จนนำมาสู่การทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน และนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด
พญ.วิมลรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างความเข้าใจกันในครอบครัว การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เริ่มจากการรับฟังกันอย่างตั้งใจ เพื่อให้เข้าใจความคิด ความต้องการของกันและกัน เป็นการแสดงถึงความเข้าใจ ให้เกียรติ ยอมรับซึ่งกันและกัน เพิ่มการสื่อสารเชิงบวก เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยกัน ไม่ใช่เพียงตำหนิต่อว่ากันแล้วจบไป แต่ควรพูดคุยเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน โดยการบอกความรู้สึก ความต้องการ ความเป็นห่วงของตนเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้รับฟังเข้าใจความรู้สึกที่หวังดีของเรา ไม่ใช่เพียงรับรู้ถึงแค่ความโกรธ ความไม่พอใจถึงพฤติกรรมของอีกฝ่าย สมาชิกในครอบครัวต้องสังเกตความขัดแย้งที่เด็กจัดการด้วยความสร้างสรรค์ไม่ได้ เพื่อหาทางออกในการช่วยเหลือที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง และอีกประเด็นที่สำคัญ คือ ขอความร่วมมือให้สื่อหรือประชาชนไม่นำเสนอการสัมภาษณ์เด็กที่เป็นจำเลยของคดีหรือสังคมผ่านช่องทางต่างๆ เนื่องจากเป็นคดีที่สร้างความอ่อนไหว อีกทั้งการเปิดเผยข้อมูลย่อมส่งผลกระทบในเชิงลบ ทั้งต่อจิตใจของเยาวชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ถูกตีตราและกีดกันต่อสังคมอีกด้วย
กรมสุขภาพจิต เล็งเห็นว่า ปัญหาทางอารมณ์ของเด็กเป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกันแก้ไข โดยสามารถเริ่มจากครอบครัวของตนเอง ไม่ควรมองว่าเรื่องของเด็กหรือความเครียดของเด็กเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ควรปรับวิธีการแก้ไขปัญหา โดยการรับฟังกัน เพิ่มการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดี และครอบครัวต้องเป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อไป หากพ่อแม่ ผู้ปกครอง สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวอาจมีปัญหามาจากเรื่องสุขภาพจิต สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์ เพื่อร่วมกันวางแผนช่วยเหลือ หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับคำปรึกษาเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ทุกอย่างสายเกินไป. – สำนักข่าวไทย