เสนอพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญไทยแบบองค์รวม

กรุงเทพฯ 7 ต.ค..- มส.ผส.ผนึก วช.และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จัดเสวนา “ปฏิรูประบบบำนาญไทยเพื่อสังคมสูงวัยในอนาคต” พบข้อมูลประชากรวัยทำงานที่มีหลักประกันส่วนเพิ่มเติมจากบำนาญหรือเบี้ยยังชีพยังครอบคลุมเพียงร้อยละ 38.82 เท่านั้น เสนอรัฐพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญไทยแบบองค์รวม


มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนา “ปฏิรูประบบบำนาญไทยเพื่อสังคมสูงวัยในอนาคต” โดยมีนายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย และ พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ ผู้อำนวยการแผนงานวิจัยท้าทายไทย ร่วมเปิดงาน
ศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอผลการศึกษา” ทิศทางและนโยบายปฏิรูประบบบำนาญของประเทศไทย” พบว่า ไทยมีระบบบำเหน็จบำนาญหลากหลาย มีหลักปรัชญา แนวคิด และแหล่งที่มาของเงินที่แตกต่างกัน ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมายต่างกันไป มีทั้งระบบผู้จะรับสิทธิประโยชน์ไม่ต้องมีส่วนร่วมจ่าย คือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ , ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ฯลฯ และแบบที่ผู้รับสิทธิประโยชน์จะต้องมีส่วนร่วมจ่าย คือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีระบบจะต้องมีส่วนร่วมจ่ายแบบเฉลี่ยทุกข์-เฉลี่ยสุข โดย เจ้าตัว นายจ้าง และรัฐบาล คือกองทุนประกันสังคม และกองทุนสงเคราะห์ ศธ. ขณะที่ระบบอยู่บนหลักการของการออม และมีการสมทบร่วมโดยนายจ้างหรือรัฐบาล มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ทั้งนี้หากแบ่งออกตามเป้าหมาย พบว่า เป้าหมายที่มุ่งเน้นการจัดสรร บำนาญให้กับประชาชน คือ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ , ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ,ข้าราชการกทม. กองทุนประกันสังคม และกองทุนการออมแห่งชาติซึ่งในส่วนเป้าหมายที่เน้นการจัดสรร “เงินก้อน”ให้กับประชาชน คือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนสงเคราะห์กระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
“ระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศไทยมีลักษณะเป็น “ปิ่นโต” คือ ประชาชนคนหนึ่งมีโอกาสจะได้รับประโยชน์จากระบบบำเหน็จบำนาญหลายระบบได้พร้อมกัน ตามลักษณะ อาชีพ การทำงาน ซึ่งบางคนอาจมีปิ่นโตหลายชั้น ขณะที่บางคนอาจมีเพียงชั้นเดียว ทำให้กลุ่มคนบางส่วน เช่น แรงงานนอกระบบ มีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ทำให้คนกลุ่มนี้ขาดความมั่นคงด้านรายได้ ขณะเดียวกันภายใต้ระบบบำเหน็จบำนาญที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รัฐบาลต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูง จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและมีอายุยืนขึ้น ก็จะส่งผลต่อสถานการณ์การคลังของรัฐบาลในอนาคตด้วย” ศ.ดร.วรเวศม์กล่าว
ศ.ดร.วรเวศม์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจำนวนผู้ที่กำลังรับเงินบำนาญข้าราชการและเบี้ยยังชีพรวมกันต่อจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั้งหมดมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 88 สะท้อนให้เห็นว่าระบบบำนาญของไทยครอบคลุมสำหรับการคุ้มครองด้านรายได้ให้กับผู้สูงอายุไทยได้กว้างขวางทีเดียว ขณะเดียวกันประชากรวัยทำงานมีโอกาสในการสร้างหลักประกันเพิ่มเติม ผ่านระบบบำนาญอื่นๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันสังคม กองทุนสงเคราะห์ ศธ.โดย กองทุนการออมแห่งชาติจะช่วยเก็บตกประชากรวัยทำงาน ที่ไม่ใช่ลูกจ้างในสถานประกอบการต่างๆ ให้สร้างหลักประกันได้ แต่ก็ยังครอบคลุมไม่มากนัก เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประชากรวัยแรงงาน อายุ 15-59 ปี มีจำนวน 42,845,915 คน ในปลายปี 2562 ประชากรวัยทำงานที่มีบำนาญส่วนเพิ่มที่กล่าวไปนั้นมีเพียง ร้อยละ 38.82 เท่านั้น


จะเห็นได้ว่า ระบบบำนาญของประเทศไทยมีหลายระบบ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ตามกลุ่มประชากร อาชีพ สถานภาพการทำงาน สถานที่ทำงาน และเป็นแบบหลายชั้น และมีระบบการบริหารจัดการที่แยกออกจากกัน การตัดสินใจเป็นเอกเทศ ที่สำคัญที่สุดคือในช่วงโควิด-19 ทำให้เห็นข้อจำกัดของระบบ การมีส่วนร่วมจ่าย และความไม่เชื่อมโยงระหว่างระบบ เราพบแรงงานหลายคนต้องหลุดจากระบบประกันสังคมเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ การลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมส่งผลต่อกองทุนประกันสังคม ลูกจ้างและนายจ้างหยุดเลื่อนการจ่ายเงินสะสมเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีนายจ้างลดอัตราการจ่ายเงินสมทบการยกเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทในหลายแห่งด้วย

สิ่งสำคัญอันดับแรกของการเปลี่ยนแปลงระบบบำนาญของประเทศคือการสร้าง platform ที่เป็นทางการ เพื่อนำพาระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศไปในทิศทางที่ควรจะเป็นอย่างเป็นองค์รวม และ platform นี้จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำชี้ทิศทางของระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศที่มองผลประโยชน์ของ “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง ไม่ได้มองแค่ “แต่ละระบบ” และประสานผลประโยชน์ของผู้สูงอายุรุ่นนี้รุ่นหน้า รวมถึงสถานภาพการทำงานและอาชีพของประชาชนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้สูงอายุด้วย ซึ่งในร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ….. ที่ได้ระบุในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้อย่างครอบคลุม.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง