นายกฯ ประชุมร่วมกับ กทม.ขับเคลื่อนพัฒนา-แก้ไขปัญหาในหลายด้าน

กรุงเทพฯ 23 ก.พ. – กทม.เปิดบ้านต้อนรับนายกรัฐมนตรี ประชุมขับเคลื่อนพัฒนากรุงเทพฯ เร่งแก้ไขหลายปัญหาของเมืองทั้ง การจราจร-ฝุ่น PM2.5 – แท็กซี่, วินมอไซค์, ไกด์เถื่อน อย่างจริงจัง


นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้อนรับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในโอกาสเดินทางมาเยือนศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร อย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมทั้งประชุมติดตามเร่งรัดพัฒนากรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย คณะผู้บริหาร กทม., กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงคมนาคม, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผู้ว่าฯ กทม.ได้รายงานสถานการณ์ใน กทม.ด้านต่าง ๆ และการติดตามความก้าวหน้าในการเร่งรัดพัฒนา กทม. ใน 2 กลุ่มประเด็น คือ การจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐานและการจัดการด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยยกปัญหาจุดฝืดจราจรและวินัยจราจรของทั้งรถส่วนบุคคล และรถสาธารณะ โดยกทม.มีแนวทางการแก้ไข คือ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบังคับใช้กฎหมาย โดย กทม.จะเชื่อมโยงเครื่องมือตรวจจับการฝ่าฝืนกฎหมาย อาทิ การใช้ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่สามารถตรวจจับการฝ่าฝืนกฎหมายได้ หรือการใช้ข้อมูล input จาก GPS รถเพื่อตรวจสอบการจอดรถผิดกฎหมาย แล้วนำข้อมูลส่งมอบให้ตำรวจออกใบสั่งจับกุมผู้ฝ่าฝืน และเมื่อไม่จ่ายค่าปรับจะส่งข้อมูลเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกห้ามต่อทะเบียนรถ ซึ่งในส่วนของปัญหาด้านกายภาพส่วนใหญ่เกิดจากการก่อสร้างสาธารณูปโภค ส่งผลต่อพื้นผิวถนนทำให้เกิดผลกระทบด้านการจราจรในพื้นที่ แนวทางการแก้ไข คือ ประสานหน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีการก่อสร้าง กำกับและดำเนินการก่อสร้างในระยะเวลาที่เหมาะสม พร้อมทั้งตรวจสอบและวางแนวทางในการคืนผิวจราจรให้ประชาชนเร็วที่สุด และการขยายช่องจราจรหรือปรับปรุงพื้นผิวจราจรในบริเวณที่มีคอขวดเพื่อลดปัญหาวงเลี้ยวหรือทางแคบ


ผู้ว่าฯ กทม.ยังกล่าวว่าที่ผ่านมามีการประสานกับตำรวจจราจร ในการบริหารจัดการและการควบคุมการจราจรใน กทม. เช่น จังหวะสัญญาณไฟจราจรที่ไม่สอดคล้องกับปริมาณจราจร โดยได้ปรับรอบสัญญาณไฟจราจรให้มีความเหมาะสมในแต่ละจุด พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการจราจรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการจราจร ITMS (Intelligent Traffic Management System) เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงจังหวะสัญญาณไฟตามสภาพจราจรและปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรแบบ Adaptive Signaling เพื่อปรับตัวจากระบบอัตโนมัติตามการจราจรในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งการเพิ่มโครงข่ายรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ที่ยังไม่ครอบคลุม และการปรับปรุงศาลาที่พักผู้โดยสาร และป้ายรถประจำทาง เพื่อให้ผู้เดินทางมีข้อมูลรถประจำทางที่อัปเดตตลอดเวลา ส่งเสริมระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกการเดินทาง

การแก้ไขปัญหารถแท็กซี่ รถสามล้อ และมัคคุเทศก์ผี ผู้ว่าฯ กทม.เผยจากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานเขตในพื้นที่ และข้อมูลการร้องเรียนของตำรวจท่องเที่ยว พบจุดที่มีแท็กซี่จอดเรียกผู้โดยสารอยู่ โดยจะมีย่านใหญ่ๆ ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ย่านข้าวสาร 19 จุด นอกจากนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน (โทร.1584) กรมการขนส่งทางบก ได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการรถสาธารณะเกี่ยวกับการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม อาทิ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ไม่ใช้มาตรวัดค่าโดยสาร แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ ขับรถประมาทน่าหวาดเสียว ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ที่ตกลงกัน โดยพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ 1.หน้าห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน แพลททินัมไอคอนสยาม มาบุญครอง เอสพลานาด และฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 2.บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง 3.บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสาร เช่น จตุจักร (หมอชิต) เอกมัย และสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ ถนนบรมราชชนนี (ตลิ่งชัน) 4.สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดพระแก้ว สนามหลวง ย่านทองหล่อ อโศก และซอยนานา แนวทางการแก้ไขปัญหา กรุงเทพมหานคร ได้รับความร่วมมือจากตำรวจท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) โดยแนวทางการแก้ไข บูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง นำมาตรการการตัดคะแนนความประพฤติของผู้ขับรถ และการพักใช้เพิกถอนใบอนุญาตขับรถมาใช้อย่างเข้มข้น เพื่อควบคุมพฤติกรรมผู้ขับรถ ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายในภารกิจที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด

เรื่องหาบเร่แผงลอย ปัจจุบัน กทม.มีผู้ค้า 20,012 ราย ในจุดผ่อนผัน 86 จุด 5,419 ราย จุดทบทวน 9 จุด 629 ราย นอกจุดผ่อนผัน 621 จุด 13,964 ราย มีพื้นที่ของหน่วยงานราชการหลายแห่งที่อยู่ใกล้พื้นที่ชุมชน ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น Hawker center ลานกีฬา สวนสาธารณะ กทม. ได้มีตัวอย่างความร่วมมือกับหลายหน่วยงานและได้ผลตอบรับไปในทิศทางที่เป็นบวก เช่น ร่วมมือกับ รฟม. บริเวณหน้าห้าง Union mall เพื่อจัดหาพื้นที่ให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย เป็นต้น


ขณะที่อีกเรื่องสำคัญ คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้ว่าฯ กทม.เผย สถานการณ์ปัจจุบัน ประชากรไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้า 78,742 คน ชาย 71,456 คน คิดเป็น 90.8% หญิง 7,256 คน คิดเป็น 9.2% เด็กและเยาวชน อายุ 15-24 ปี 24,050 คน คิดเป็น 30.5% กรุงเทพมหานครมีประชากรที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 47,753 คน คิดเป็น 60.7% ของประเทศไทย แนวทางการแก้ไขปัญหา โดยปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายในรัศมี 200 เมตร จากสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ต้องไม่มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า สื่อสารสาธารณะเพิ่มสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษพิษภัยและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างชุดความรู้สื่อประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมแถวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กว่า 200 นาย ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กรมการขนส่งทางบก สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักเทศกิจ และสำนักอนามัย พร้อมทั้งปล่อยขบวนรถออกปฏิบัติการ บริเวณลานคนเมือง

หลังการปล่อยแถว นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ กล่าวว่า ยินดีที่มาเยี่ยม กทม.วันนี้ โดย กทม.เป็นเมืองหลวง เป็นจุดหมายปลายทางติดอันดับของนักท่องเที่ยว ซึ่ง กทม.ก็มีทีมงาน มีผู้ว่าฯ ที่ตั้งใจ ทำงานหลายอย่าง ซึ่งเท่าที่ฟังแผนงานเร่งรัดในวันนี้ ก็อยากให้มีการสื่อสารออกไปมากขึ้น ให้ประชาชนทราบว่า กทม.กำลังทำอะไรและจะทำอะไร เพื่อให้มีความร่วมมือ ต่อไปก็อยากให้ รัฐบาลและ กทม.ทำงานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

เรื่องฝุ่นที่ กทม.รายงานมาว่า ได้ประกาศ WFH ไปสัปดาห์ที่แล้วก็เห็นว่าช่วยลดฝุ่นจากควันรถไฟได้บ้าง ต่อไปหากมีการประสานกับรัฐด้วยเราก็อาจจะประกาศให้หลายหน่วยงาน WFH ไปพร้อมกันได้ ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามว่า ปชช.มองว่าฝุ่นเป็นปัญหาซ้ำซาก แสดงว่ายังเข้มงวดไม่มากพอหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยากให้ความเป็นธรรมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วย ยืนยันว่าทุกหน่วยงานพยายามทำเต็มที่ ผู้ว่าฯ กทม.ย้ำได้ดำเนินการเข้มข้น ทั้งหมดตามอำนาจที่มี เรื่องนี้ต้องอิงวิทยาศาสตร์แก้ด้วย อย่างที่ผ่านมาก็เห็นว่าเป็นฝุ่นจากข้างนอกเข้ามา เรื่องท่าเรือ คลองเตย ที่มีเสนอให้ย้าย เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นนั้น ก็อยู่ในแผนวาระแห่งชาติเรื่องฝุ่น ตั้งแต่ปี 62 แล้วก็ยังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบรอบด้าน

ส่วนปัญหารถติดใน กทม.รัฐบาลจะทำให้เห็นแก้ได้ชัดเจนอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ ไม่ปฏิเสธว่ามีปัญหาจราจร รัฐบาลจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ การปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ โดยผู้ว่าฯ กทม.กล่าวเพิ่มเติมว่าหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหารถติด ไม่ใช่การทำถนนเพิ่ม แต่คือการทำขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้น และมีระบบฟีดเดอร์ ส่งคนให้เข้าถึงระบบสาธารณะ

เมื่อถามว่าใน 4 ปี นายกฯ หวังเห็น กทม.เป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า มีหลายเรื่องมากที่ กทม.ก็ทำอยู่แล้ว เพราะ กทม.เป็นเมืองที่มีความสำคัญกับประเทศ ก็หวัง ให้มีความสะอาด ปลอดภัย แก้ปัญหาการจราจร PM2.5 เศรษฐกิจปากท้อง ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ให้ กทม.เป็นเมืองที่น่าอยู่ โดยนายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลและ กทม.ทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี มีอะไรก็ยกหูสายตรงได้ตลอด และไม่เคยมีปัญหากัน.-417 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มือมีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” ขอโทษ อ้างป้องกันตัว

กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – มือมีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” ยืนยันไม่ได้ตั้งใจเอามีดฟัน อ้างไม่ใช่คู่กรณี แต่เห็นคนทะเลาะกัน เลยเข้าไปห้าม แต่ “เป๊ก” ปรี่เข้าหา จึงชักมีดพกขึ้นมาป้องกันตัว อยากขอโทษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วง 01.30 น. พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุมีคนถูกมีดฟันบาดเจ็บในปั๊มน้ำมันซอยรามคำแหง 76 เขตบางกะปิ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพร้อมกับสายตรวจและอาสากู้ภัย พบคนเจ็บคือ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง ถูกมีดฟันใต้คางเป็นแผลฉกรรจ์ ทำให้ต้องเร่งปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนพาตัวส่งโรงพยาบาล ขณะที่ผู้ก่อเหตุคือ นายชุติเทพ อายุ 21 ปี ไม่ได้หนีไปไหน ยืนรอมอบตัวกับตำรวจ พร้อมอาวุธมีดยาว 20 เซนติเมตร ที่ใช้ฟันเป๊ก ผลิตโชค ตำรวจจึงคุมตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก เบื้องต้นนายชุติเทพ ให้การอ้างขับรถไปรับแฟนออกจากที่ทำงานเพื่อกลับบ้าน แต่ขณะแวะปั๊มน้ำมันจุดเกิดเหตุ เห็นมีคนกำลังทะเลาะกัน คล้ายมีอาการมึนเมา อยู่ท้ายรถกระบะ ตนเองจึงเข้าไปช่วยเคลียร์ […]

ทบ.แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา

กองทัพบก 3 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา กองทัพบก ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่แพร่สะพัดบนโซเชียลมีเดีย หลังมีการอ้างว่า “สมเด็จฮุนเซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แชร์โพสต์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า กองทัพบกไทยสั่งอพยพชาวจังหวัดสุรินทร์ภายในคืนนี้ เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีกัมพูชา ก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปัจจุบันในพื้นที่ไม่ได้มีการสั่งอพยพด่วนชาวสุรินทร์อย่างที่ระบุไว้ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ที่ผ่านมา การนำเสนอข้อมูลของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข่าวทางการ และไม่หลงเชื่อหรือแชร์ข้อมูลเท็จที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในสังคม ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่มีแนวโน้มละเมิดข้อตกลงหยุดยิงบ่อยครั้ง รวมถึงพบว่ามีการเพิ่มเติมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่. – สำนักข่าวไทย

พระราชทานเพลิงศพ 7 ผู้วายชนม์ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

3 ส.ค. – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ ครอบครัวและญาติทำพิธีฌาปนกิจผู้เสียชีวิต 7 ราย จากเหตุกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี เชิญกล่องเพลิงพระราชทาน ผ้าไตรพระราชทาน และช่อดอกไม้จันทน์พระราชทาน มายังศาลาพุทธคุณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จากนั้นมีการอ่านหมายรับสั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย ได้แก่ นางสาวรุ่งรัศ, เด็กหญิงทักษพร, เด็กชายพงศภัค, เด็กชายกิตติศักดิ์, นางสาวสาวิตรี, นางอรุณรัตน์ และนายสมศรี โดยมี 5 ราย เสียชีวิตจากเหตุกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ร้านสะดวกซื้อ ภายในปั๊มน้ำมัน อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนอีก […]

คนร้ายยิง M16 ถล่มกำนัน ต.นาวง ดับคากระบะ

ตรัง 3 ส.ค. – ตำรวจ สภ.ห้วยยอด พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตรวจสอบรถกระบะกำนัน ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง หลังถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน M16 ยิงถล่ม เสียชีวิตหน้าบ้านพัก เบื้องต้นตำรวจตั้งปมขัดแย้งส่วนตัว มุ่งเอาชีวิตเป็นหลัก คืบหน้าเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืน M16 ยิงถล่มรถกระบะนายบัณฑิต กำนันตำบลนาวง และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เสียชีวิตหน้าบ้านพักเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ล่าสุด ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ประสานพิสูจน์หลักฐาน พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดศรีตรัง เข้าตรวจสอบรถกระบะของผู้เสียชีวิต พบถูกกระสุนปืน M16 ยิงใส่รถรวม 15 นัด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งประเด็นขัดแย้งส่วนตัว มุ่งเอาชีวิตเป็นหลัก เนื่องจากสภาพศพกระสุนปืนเข้าที่อวัยวะสำคัญ ทั้งศีรษะและลำตัวฝั่งขวาหลายนัด แต่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องทิ้ง ทั้ง รื่องพิพาทผลประโยชน์สวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่วังวิเศษ หรือความเชื่อมโยงกับคดีลอบสังหาร “ทนายเหว่า” ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนเชิงลึก และอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับ ผู้เกี่ยวข้องต่อไป.-สำนักข่าวไทย