29 ส.ค. – เหตุสลดฆ่ายกครัว 3 ศพ ที่สมุทรปราการ ส่อเค้าวุ่น เมื่อญาติฝ่ายสามีและภรรยา ต่างต้องการนำศพไปบำเพ็ญกุศล ขณะที่ทางโรงเรียนปิดรับบริจาคหลังยอดเงินช่วยเหลือพุ่งกว่า 2 ล้านบาท
ความคืบหน้าคดีฆ่ายกครัว 3 ศพ เมื่อสามีเครียดจากปัญหาหนี้สินที่ไปค้ำประกันรถยนต์ให้เพื่อนจนจะถูกยึดบ้าน ซ้ำยังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกซ้ำ สูญเงินไปอีกกว่า 1.7 ล้านบาท จนหมดตัว ตัดสินใจลงมือฆ่าปาดคอภรรยาและลูกชายอีก 2 คน ก่อนพยายามฆ่าตัวตายตามแต่ไม่สำเร็จ เหตุเกิดในบ้านทาวน์เฮาส์ 3 ชัั้น พื้นที่ สภ.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ
เมื่อคืนที่ผ่านมา นายสุรศักดิ์ บิดาของภรรยาที่ถูกนายสาณิช สามีฆ่าปาดคอ เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวจากจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับสามีของลูกสาว ซึ่งยังคงพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ขณะเดียวกันยังให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ทางญาติของลูกเขย ชิงมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลที่กำแพงเพชร ยอมรับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้พูดคุยตกลงกันแล้วว่าจะนำศพลูกสาวและหลานชายทั้งสองไปตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่วัดหนามแดง จ.สมุทรปราการ เพื่อความสะดวก เนื่องจากมีญาติพี่น้องที่ทำงานในพื้นที่ ยืนยันในฐานะพ่อ ไม่ยอม และต้องนำศพลูกสาวและหลานชายทั้งสองกลับมาที่วัดหนามแดง ส่วนจะแจ้งความเอาผิดในข้อหาลักศพหรือไม่นั้น ยังไม่ขอตอบ
นายสุรศักดิ์ ยังบอกด้วยว่า ติดต่อลูกสาวไม่ได้มา 2-3 เดือนแล้ว โทรไปไม่รับสาย แต่ลูกสาวไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง เห็นใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนลูกเขยเป็นคนนิสัยดี จึงไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน ทั้งนี้ หากวันพรุ่งนี้ ศพของลูกสาวและหลานทั้งสองคนยังไม่ถูกนำกลับมาที่วัดหนามแดง จะเดินทางมาร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร เพื่อให้ช่วยดำเนินการต่อไป
ยอดเงินช่วยเหลือเหยื่อ “ฆ่ายกครัว 3 ศพ” พุ่ง 2 ล้าน ปิดรับบริจาคแล้ว
ขณะที่หน่วยราชการที่เข้าช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต เช่น โรงเรียนต้นสังกัดของเด็กชายที่เสียชีวิต และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่มีการเปิดรับบริจาคเงินในนามโรงเรียนเพื่อจัดงานพิธีศพ ล่าสุดปิดรับบริจาคแล้ว หลังมียอดเงินเข้าบัญชีสูงถึง 2 ล้านบาท โดยทางโรงเรียนจะชี้แจงเรื่องเงินบริจาคต่อไปหลังเสร็จจากพิธีศพ ส่วนเรื่องเงินจะไม่ให้ญาติทั้งสองฝ่าย เพื่อตัดปัญหา อาจจะนำไปทำบุญกับโรงพยาบาล หรืออื่นๆ ตามวัตถุประสงค์ที่สมควร โดยทางโรงเรียนจะแถลงอีกครั้ง
วันนี้ นางนิภาลัย พร้อมเพื่อนร่วมงานผู้ตาย 7 คน เดินทางเข้าแสดงความบริสุทธ์กับตำรวจ สภ. บางแก้ว ว่า พวกตนเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานที่ให้ยืมเงินเท่านั้น ไม่ใช่กลุ่มเงินกู้นอกระบบ นางนิภาลัย เล่าว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา น.ส.พิภาพร (ผู้ตาย) ได้ส่งข้อความมาขอยืมเงินว่า ติดปัญหาเรื่องบ้านขอยืมเงิน 3 แสน แต่ตนให้ยืมไปแค่ 1 แสนบาท ส่วนคนอื่นก็แสนสองแสน โดยในจำนวนนี้มีเพื่อนรายหนึ่งให้ยืมไปสูงสุดเกือบ 9 แสน ส่วนตัวไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้ที่ให้ยืม เพราะรู้จักกันมานานเป็นสิบปี หลังจากที่ให้ยืมไปแล้ว ผู้ตายก็โทรมาพูดคุยเรื่องที่ถูกแอปฯ โกงไป จึงถามไปว่าจะใช้เงินคืนยังไง ทางผู้ตายได้แต่ร้องไห้ขอโทษ
ตร. เผยออกหมายจับบัญชีม้าลวงเงินผู้ตายแล้ว
ส่วนความคืบหน้าทางคดี พล.ต.ต พัลลพ แอร่มหล้า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า ได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องแล้ว 6 หมาย เป็นบัญชีม้าแถวแรกที่ผู้ตายโอนไปให้แก๊งมิจฉาชีพ ส่วนผู้ก่อเหตุโดนหมายจับข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตองไว้ก่อน ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างการสอบพยานเพิ่มเติม ให้รอการแถลงอีกครั้ง
พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รองผู้บัญชาการ สอท. เปิดเผยว่า การตรวจสอบขณะนี้พบเงินของผู้เสียชีวิตถูกโอนต่อไปยังบัญชีม้า 2 แถว รวม 8 บัญชี ส่วนชื่อผู้เปิดบัญชีม้ามี 5 รายชื่อ ซึ่งพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ออกหมายจับแล้ว 5 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามจับกุมตามหมายจับทั้งหมด ขณะเดียวกันพบว่ามีเงินของผู้เสียตายที่ถูกโอนไปยังบัญชีม้าถูกเบิกออกมาเป็นเงินสดจำนวนหนึ่ง อยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามกล้องวงจรปิดเพื่อหาตัวผู้กดเงินจากบัญชี และเร่งประสานไปยังธนาคาร เพื่อติดตามเส้นทางการเงิน และสืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้ายที่เหลือมาดำเนินคดี พร้อมเตือนให้ประชาชนก่อนตัดสินใจกู้เงินผ่านแอปฯ ต่างๆ ให้ตรวจสอบรายชื่อ บริษัทเงินกู้ กับธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมย้ำว่าการกู้เงินทุกรูปแบบ จะไม่มีการให้ผู้กู้โอนเงินไปให้ผู้ปล่อยกู้ก่อน หากประชาชนเจอแอปเงินกู้ใดๆ ที่ให้โอนเงินไปให้ผู้ปล่อยกู้ก่อน ระลึกไว้เสมออาจเป็นแอปปลอมของมิจฉาชีพ. – สำนักข่าวไทย