วิชา เตรียมเรียก พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ และตำรวจที่เกี่ยวข้องคดีบอส อยู่วิทยา

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 14 ส.ค.- วิชา เตรียมเรียก พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ และตำรวจที่เกี่ยวข้องคดีบอส อยู่วิทยา ย้ำต้องคุ้มครองดูแลความปลอดภัยพยาน เนตร ยันสั่งไม่ฟ้องเป็นอำนาจ ใช้ดุลยพินิจส่วนตัวโดยถูกต้อง ไม่ต้องรายงานอัยการสูงสุด อรรถพล เห็นช่องโหว่กฎหมาย เตรียมประชุมคณะกรรมการอัยการ 18 ส.ค.นี้ สอบคดีบอส


นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส แถลงหลังรับฟังการชี้แจงจากนายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธว่า นายอรรถพล ยืนยันความคิดเห็นและข้อสังเกตที่ให้กับทางอัยการสูงสุดไปแล้ว ว่าในขณะที่ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร เป็นอัยการสูงสุด เคยสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว และให้ดำเนินการฟ้องคดีไปตามคำสั่งฟ้องของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ แต่การที่นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด หยิบยกเรื่องร้องขอความเป็นธรรมขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่หยิบยกมาอีกไม่ได้ เว้นแต่ต้องรายงานให้อัยการสูงสุดคนปัจจุบันรับทราบด้วย ว่าได้สั่งการหรือดำเนินการไปประการใดประการหนึ่ง แต่ถ้าสั่งไปแล้วโดยไม่พิจารณารอบคอบ ถือว่าเป็นการสั่งฟ้องคดีโดยไม่ชอบ ซึ่งนายอรรถพลได้บอกว่านำประเด็นนี้หารือกับอัยการสูงสุดแล้ว แต่อัยการสูงสุดนิ่งเฉยไม่ตอบอะไร และอยากให้ตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบโดย ก.อ แต่อัยการสูงสุดได้สั่งตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบเองในฐานะผู้นำองค์กร แต่หาก ก.อ.มีคำสั่งประการใดที่เกี่ยวข้อง ก็อาจเกิดความขัดแย้งยุ่งยาก ซึ่งจะต้องรอฟังผลที่ประชุม ก.อ. จะพิจารณาซักถามกรณีนี้ในวันที่ 18 สิงหาคม

นายวิชา กล่าวว่า ความเห็นของนายอรรถพล ตรงกับความเห็นของศาสตราจารย์พิเศษ คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ว่า ไม่มีกฎหมายระบุไว้โดยตรงเกี่ยวกับร้องขอความเป็นธรรม ว่าผู้ที่ได้รับมอบอำนาจระดับรองอัยการสูงสุด สามารถดำเนินการได้หรือไม่ และสิ่งที่น่าสนใจคือนายเนตร นาคสุข ขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่ได้เป็นรองอัยการสูงสุดโดยสมบูรณ์ เพราะยังไม่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม โดยได้สั่งการไปในฐานะของอธิบดีอัยการศาลสูง รักษาราชการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด และปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นตำแหน่ง 3 ต่อกัน จึงเกิดประเด็นปัญหาที่น่าคิด ที่ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะทำงานชุดนี้ด้วย โดยจะเชิญนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด มาชี้แจงกับคณะกรรมการภายในสัปดาห์หน้า


ส่วนการชี้แจงของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้องคดี นายวิชา กล่าวว่า นายเนตร ยืนยันว่าการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรม เป็นไปตามที่ทนายความร้องขอมา และทางสำนักคดีกิจการอัยการ เป็นฝ่ายที่ตั้งเรื่องมาว่า เห็นสมควรสั่งสอบเพิ่มเติม แล้วจึงได้ดูสำนวนจริงๆ ก็ตอนที่ตำรวจดำเนินการสอบเพิ่มเติมแล้ว โดยนายเนตรยืนยันว่าการสั่งไม่ฟ้องเป็นไปโดยถูกต้อง และไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตของนายอรรถพล เพราะมั่นใจว่าสั่งโดยมีอำนาจ และสั่งเช่นนี้ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ส่วนกรณีหยิบยกเรื่องขอความเป็นธรรมมา ก็เห็นว่าทำได้ตลอด ไม่ถือว่าคำสั่งนี้เป็นการลบล้างคำสั่งของ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ เพราะเป็นการสั่งเฉพาะเรื่องร้องขอความเป็นธรรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเป็นการสั่งในสำนวน เพราะฉะนั้นจึงมีอำนาจเต็มบริบูรณ์ และยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องรายงานต่ออัยการสูงสุดเพราะถือว่ามีอำนาจโดยสูงสุดอยู่แล้ว ซึ่งทาง ก.อ. จะต้องพิจารณาในเรื่องนี้ต่อไป

ส่วนที่นายเนตรตัดสินใจลาออก นายวิชากล่าวว่า นายเนตร ชี้แจงว่า ตัดสินใจด้วยตัวเองเพื่อเป็นผลดีต่อองค์กรให้หมดความยุ่งยากไป ให้เหตุผลว่าไม่อยากเป็นตัวถ่วงและอยากกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่การลาออกมีผลต่อเมื่ออัยการสูงสุดสั่งอนุมัติการลาออก ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้สั่งอนุมัติ จึงยังคงเป็นอัยการสูงสุดอยู่

ส่วนที่เคยมีรองอัยการสูงสุดดำเนินการใช่อำนาจเช่นเดียวกับนายเนตรหรือไม่ นายวิชากล่าวว่า นายเนตรไม่ได้พูดถึง พูดแต่ในส่วนที่นายเนตรระบุเพียงว่าใช้อำนาจโดยไม่เคยรายงานต่ออัยการสูงสุด ขณะที่นายอรรพล ย้ำว่าการทำงานของอัยการมีช่องโหว่เยอะ จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งจะอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อกฎหมาย และต้องนำเสนอด้วยว่า จะต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะเข้าไปอยู่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ หรือจะออกเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าระเบียบ จะใช้บังคับอย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่ ซึ่งเดิมไม่มีกำหนดไว้โดยสามารถขอความเป็นธรรมเป็นร้อยครั้งก็ได้ เมื่อขึ้นไปถึงศาลจะขอให้อัยการถอนฟ้องก็ยังได้


ส่วนความคืบหน้าของคณะทำงานตรวจสอบบุคคลทั่วไป ที่มีนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน นายวิชากล่าวว่า ได้ความคืบหน้านี้เกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเร็วของรถ เรื่องโคเคน โดยได้รับความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย และจะนำมาประกอบการพิจารณาว่าการทำสำนวนบกพร่องจริงหรือไม่ โดยได้รับสำนวนของทางตำรวจเรียบร้อยแล้ว และทางตำรวจก็มีความคืบหน้าตลอดเวลา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะดำเนินการ เกี่ยวกับการใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 หรือไม่ อย่างไร หรือจะถือว่ากระบวนการนั้นเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ ก็เป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะพิจารณาโดยละเอียด

นายวิชา กล่าวว่า วันจันทร์นี้ พันตำรวจเอกธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ.4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมาให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการ ซึ่งถือเป็นพยานที่จะต้องดูแลมากที่สุด เพราะเป็นคนที่สำคัญที่จะทำให้คดีนำไปสู่ศาลหรือไม่ ต้องช่วยดูแลต้องประคับประคองไปเพราะไม่ได้เป็นพยานแค่นี้ แต่ต้องเป็นพยานในกระบวนการศาลด้วย ซึ่งจะต้องดูแลทุกเรื่องรวมถึงเรื่องความปลอดภัย ให้ได้รับสิ่งที่เรียกได้ว่าควรจะได้รับในฐานะการเป็นพยาน

ส่วนภาพรวมความคืบหน้าของคณะกรรมการ นายวิชากล่าวว่า ดำเนินการไปได้ด้วยดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็พอใจในจุดหนึ่ง แต่อยากให้สอบให้ถูกใจประชาชน เพื่อเอาคดีไปถึงศาลให้ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของคณะกรรมการ คดีจะต้องไม่ยุติอยู่แค่นี้ จะต้องไปให้ถึงศาลให้ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไป ว่าความยุติธรรมยังคงอยู่

ส่วนแนวโน้มส่งฟ้องถึงศาลอีกครั้ง และแนวโน้ม การดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้อง นายวิชา กล่าวว่า ใครผิดใครถูกในกระบวนการก็ต้องว่ากันอีกขั้นตอนหนึ่ง จะเอาเรื่องใครผิดใครถูกก็ต้องละเอียดรอบคอบพอสมควร ต้องดูว่าบุคคลเหล่านั้นทำผิดเพราะอะไร เพราะความผิดพลาดของมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าตั้งใจ หรือว่ามีอะไรกดดัน หรือว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังในกระบวนการ ก็ต้องดูโดยละเอียด ซึ่งตำรวจและอัยการต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง ไม่เหมือนศาลที่มีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 เขียนไว้ชัดเจนว่าถ้าหากว่าทำอะไรผิด ผู้พิพากษาสามารถเพิกถอนได้ตลอดเวลา ซึ่งตนเองก็เคยทำ สั่งผิดแล้ววันรุ่งขึ้นก็สั่งใหม่ ซึ่งถือว่ามีความกล้าหาญ แก้ไขจากผิดเป็นถูก เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลก

ส่วนการนำคดีขึ้นสู่ศาลอีกครั้ง โดยให้ถือว่าเป็นหลักฐานใหม่ นายวิชา กล่าวว่า ก็เป็นการตั้งธงในการสอบสวน ส่วนเรื่องหลักฐานใหม่ยังต้องพิจารณากันให้รอบคอบ เพราะหลักฐานใหม่นี้ จะใหม่จริงหรือไม่ มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาไว้พิจารณาอยู่แล้ว

ส่วนที่คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ค้นพบว่ามีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการพยาน นายวิชา กล่าวว่า ก็อยู่ในกระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการเช่นเดียวกัน. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]