“พริษฐ์” ลงพื้นที่หนองคาย ชี้ 3 โจทย์ใหญ่ฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด

พริษฐ์ช่วยน้ำท่วม

หนองคาย 22 ก.ย. – “พริษฐ์” ลงพื้นที่หนองคาย ชี้ 3 โจทย์ใหญ่ฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด ต้องส่งเงินเยียวยาให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วและเป็นธรรม อัดฉีดเงินให้ท้องถิ่นเร่งฟื้นฟูเมือง พร้อมดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัยไม่ให้เผชิญกับความเครียด-กังวลโดยลำพัง


นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน พร้อมด้วยทีมงานของพรรค ลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย ติดตามสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วม โดยในช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาประชาชนผู้ประสบภัยในอำเภอท่าบ่อ ก่อนจะไปร่วมทำความสะอาดฟื้นฟูโรงเรียนและรับฟังข้อเสนอจากประชาชนและอาสาสมัครในพื้นที่อำเภอศรีเชียงใหม่

พริษฐ์ กล่าวว่า ถึงแม้หนองคายจะอยู่ในสภาวะน้ำลดแล้ว แต่เหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงวันที่ 15-21 กันยายน สร้างความเสียหายต่อพื้นที่รวมกัน 6 อำเภอ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการฟื้นฟูเยียวยาไปแล้วบางส่วน รวมงบประมาณ 3,045 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่า การฟื้นฟูเยียวยาอาจแบ่งออกเป็นโจทย์หลัก 3 ข้อด้วยกัน


ข้อแรกคือ “การฟื้นฟูทางการเงิน” ซึ่งโจทย์เร่งด่วนที่สุดคือต้องทำให้เงินเยียวยาถึงมือประชาชนโดยเร็ว เพราะเงินเยียวยาไม่ได้สำคัญเฉพาะในมิติของการ “ชดเชยค่าเสียหาย” ที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ยังมีความสำคัญในการช่วยประชาชนให้ “ลุกกลับมาตั้งหลัก” และเริ่มหารายได้ได้อีกครั้งหนึ่ง

พริษฐ์ กล่าวว่า ในระหว่างการลงพื้นที่ ได้พบกับประชาชนที่ทำอาหารที่บ้านเพื่อขายผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งระหว่างนี้จะยังไม่มีรายได้จนกว่าจะซ่อมแซมบ้านเสร็จและซื้ออุปกรณ์เข้ามาใหม่ รวมถึงได้พบกับประชาชนที่ทำสวน ซึ่งก็จะยังกลับมาปลูกใหม่ไม่ได้ หากน้ำที่ขังอยู่จำนวนมากยังไม่มีคนมาช่วยสูบออก สำหรับคนกลุ่มนี้ ทุกวันที่ผ่านไปโดยไม่ได้รับการเยียวยาจึงเป็นอีกหนึ่งวันที่พวกเขายังกลับมาทำมาหากินแบบเดิมไม่ได้

ถึงแม้ ครม. จะอนุมัติเงินเยียวยาตั้งต้น 5,000-9,000 บาทต่อครัวเรือน ไปแล้ว รวมถึงเงินเยียวยา 230,000 บาท ในกรณีที่บ้านเสียหายมากกว่า 70% ขึ้นไป แต่ประชาชนหลายคนที่ตนไปคุยด้วยยังไม่ทราบข้อมูลว่าต้องดำเนินการต่ออย่างไร และบางพื้นที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่เดินทางมาให้คำแนะนำ
.
ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อเสนอรัฐบาล ดังนี้ 1.พิจารณาใช้วิธีส่งเงินเยียวยาให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด สำหรับเงินเยียวยาตั้งต้น 5,000-9,000 บาทต่อครัวเรือน รัฐบาลควรใช้ภาพถ่ายดาวเทียมจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) มาซ้อนทับกับข้อมูลพิกัดที่อยู่บนแผนที่โลก (Geocoding) เพื่อให้เงินชดเชยผู้ประสบภัยโดยอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐได้เลยทันที เพื่อลดขั้นตอนและภาระทางเอกสารที่ยุ่งยากเกินไป ส่วนเงินซ่อมแซมบ้าน รัฐบาลควรให้เงินซ่อมแซมบางส่วน (เช่น 10,000 บาท) ทันทีสำหรับบ้านทุกหลังที่ประสบภัย จากนั้นเมื่อสำรวจและประเมินความเสียหายเสร็จสิ้นก็ค่อยจ่ายส่วนต่างที่เหลือตามมาตามสภาพจริง
2.เพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นใช้ในการออกนโยบายฟื้นฟูเยียวยาประชาชนในพื้นที่ตนเองเพิ่มเติมอย่างเต็มที่มากขึ้น เนื่องจากกลไกเยียวยาของท้องถิ่นมีแนวโน้มที่จะรวดเร็วกว่า และมีรายละเอียดที่คำนึงถึงปัจจัยเฉพาะรายพื้นที่ได้มากกว่า
3.เพิ่มและเจรจากลไกในการให้สินเชื่อดอกเบี้ย 0% กับประชาชนผู้ประสบภัย เพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูกิจการหรือซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพของตนเองโดยเร็ว
4.เร่งประชาสัมพันธ์สิทธิประโยชน์และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้กับผู้ประสบภัย
5.พิจารณาถ่ายโอนอำนาจในการประกาศเขตภัยพิบัติและการบริหารจัดการงบประมาณที่เกี่ยวข้องให้แก่ท้องถิ่นในอนาคค เพื่อให้สามารถใช้เงินได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น โดยหากมีความกังวลว่าจะมีการประกาศเขตภัยพิบัติที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ก็ให้มีกลไกที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำเรื่องเสนอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พิจารณาทบทวน ยืนยัน หรือยับยั้งการประกาศเขตภัยพิบัติที่ท้องถิ่นประกาศไปแล้วได้


พริษฐ์กล่าวต่อว่า นอกจากการทำให้เงินถึงมือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วแล้ว รัฐบาลยังต้องกำหนดเงินชดเชยเยียวยาให้เป็นธรรมกับทุกกรณีด้วย โดยตัวอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบคือ มาตรการเงินเยียวยาตั้งต้นของรัฐบาลซึ่งมีระดับไม่เท่ากันสำหรับแต่ละกรณี (5,000 / 7,000 / 9,000 บาท) ถึงแม้ระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมขัง จะถูกใช้เป็นเกณฑ์หลักในการกำหนดระดับเงินเยียวยา แต่ความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้สัมพันธ์กับระยะเวลาเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกี่ยวข้องลักษณะของการเกิดอุทกภัยด้วย เช่น หากเป็นน้ำป่าไหลหลากและมีโคลนหรือหน้าดินไหลลงมาด้วย ความเสียหายก็จะสูง แม้ว่าระยะเวลาที่น้ำท่วมขังจะไม่ถึง 7 วัน หรือบางกรณีน้ำอาจท่วมไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำแต่เกิดความเสียหายสูงมาก ก็จะได้รับความช่วยเหลือเพียงขั้นต่ำสุดเท่านั้น

ดังนี้ รัฐบาลควรพิจารณาเสริมเกณฑ์ในการกำหนดระดับการเยียวยาที่คำนึงถึงหลายปัจจัยมากขึ้น โดยดึงท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่สุด รวมถึงควรทบทวนเกณฑ์ในการกำหนดเงินเยียวยาพื้นที่เกษตรกรรมให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เสียหายจริงด้วย

โจทย์หลักข้อที่สองคือ “การฟื้นฟูเมือง” โดยพริษฐ์ กล่าวว่า ถึงแม้พื้นที่เมืองหนองคายจะไม่ได้รับความเสียหายมากเท่ากับพื้นที่อื่นๆ (เช่น เชียงราย) แต่สถานที่ให้บริการหลายส่วนที่ได้รับความเสียหาย เช่น โรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก อาจต้องยุติการให้บริการ ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียนชุมชนบ้านหม้อที่ตนไปร่วมทำความสะอาด อาจต้องปิดทำการรวมกัน 2-3 สัปดาห์ ถึงแม้จะเปิดกลับมาได้ แต่ก็มีอาคารเรียนบางส่วนที่ชำรุดและต้องเร่งซ่อมแซมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุกับนักเรียน

จึงมีข้อเสนอว่า รัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อซ่อมแซมบริการสาธารณะต่างๆ เช่น ถนน ไฟส่องสว่าง โรงเรียน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) รวมถึงออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ เช่น กระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านการลดหย่อนภาษีสำหรับ “เมืองน้ำลด” ในลักษณะคล้ายกับที่เคยใช้กระตุ้นการท่องเที่ยว “เมืองรอง”

ส่วนโจทย์หลักข้อที่สามคือ “การฟื้นฟูสุขภาพจิต” พริษฐ์ กล่าวว่า รายงานการศึกษาจากหลายประเทศชี้ชัดว่าคนที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ มีแนวโน้มจะเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงกว่าประชาชนทั่วไป เช่น ภาวะป่วยทางใจหลังประสบภัยในชีวิต (PTSD) ภาวะวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า ถึงแม้ความเครียดและความกังวลบางส่วนอาจมีความสัมพันธ์กับปัญหาทางการเงินและความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่การเฝ้าดู คัดกรอง และดูแลรักษาความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตของผู้ประสบภัยทุกคนเป็นภารกิจที่ไม่ควรถูกละเลย

จึงมีข้อเสนอว่า รัฐบาลควรพัฒนาทักษะและสนับสนุนเครื่องมือให้ประชาชนเป็น “แนวหน้าสุขภาพจิต” ที่มีความรู้พื้นฐานในการสังเกตอาการของคนรอบข้างด้านสุขภาพจิต มีทักษะขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพจิต เช่น การรับฟัง การสร้างกำลังใจ และการให้คำปรึกษา และเข้าถึงเครื่องมือประเมินความเสี่ยงพื้นฐานที่นำไปใช้งานต่อได้ นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรให้เพียงพอสำหรับสายด่วนสุขภาพจิต หรือช่องทางอื่นในการได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตด้วย – 312 สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เตือนทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง ‘ตะวันออก’ หนักสุด

กทม. 12 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง เตือนภาคตะวันออกรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” (PODUL) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไต้หวัน และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 13 – 14 ส.ค. โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย

เสียงสะท้อนจากวีรบุรุษแนวหน้าถึงแนวหลัง

11 ส.ค. – แม้สถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชาเหมือนจะดีขึ้น แต่ยังวางใจไม่ได้ เช่นข่าวทหารไทยเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บอีก 3 นาย วันนี้จะพาไปดูความพร้อมของหน่วยแพทย์ในการดูแลทหารของชาติในฐานะวีรบุรุษ พร้อมข้อคิดจากจ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญชูกล้า หรือจ่าเต้ 1 ในวีรบุรุษ ฝากถึงแนวหลัง.-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังถก​ สมช.​ เคาะสถานการณ์สงบจริง

เมืองทองธานี 11 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ลั่น​ ก็จบ!! ​ หลัง “กองทัพ” ยืนยันแล้ว “แม่ทัพภาค 2” ไม่ได้พูดยึดปราสาทตาควาย ย้ำยังไม่มีอะไรผิดสัญญา เล็งปิด​ ศบ.ทก. หลังประชุม​ สมช.​ 13-14 ส.ค.นี้​ เคาะสถานการณ์สงบจริง​ นายภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​ กล่าวถึงกรณีพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2​ ออกมา ประกาศยึดคืนปราสาทตาควาย จะถือเป็นการละเมิดข้อตกลงไทย-กัมพูชาหรือไม่ ว่า​ ยังไม่ได้ยินแม่ทัพภาคที่ 2 พูด​ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลง​ เมื่อถามว่าแม้กองทัพ จะออกมาปฏิเสธแล้ว​ แต่ทางกัมพูชา​อาจมองเป็นการกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง และละเมิดข้อตกลง 13 ข้อ นายภูมิ​ธรรม​ กล่าวว่า​ ยังไม่มีอะไรผิดสัญญา กองทัพซึ่งเป็นตัวหลักได้ยืนยันแล้ว​ ก็จบตามนั้น​ เมื่อถามว่า​ สถานการณ์ชายแดน 2-3 วันที่ผ่านมา​ ถือว่าสงบนิ่งหรือไม่​ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะกลับมา​อีก […]

ทบ.ยัน ‘มทภ.2’ ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย

11 ส.ค.- โฆษกกองทัพบกโต้กัมพูชา ยันแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย ย้ำไทยไม่มีความพยายาม “ยั่วยุ-วางแผน” ใช้กำลังทางทหารตามที่เขมรกล่าวอ้าง พลตรี​ วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องของปราสาทตาควาย ว่า “ยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้ทำการวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่าเตรียมนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงเจรจาในกรอบการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ใช่ความพยายามที่มีการยั่วยุและมีการวางแผนใช้กำลังทางทหารต่อกรณีปราสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด” -สำนักข่าวไทย