รัฐสภา 17 ส.ค. –สภาเห็นชอบงบกลางวาระสอง ตาม กมธ.เสียงข้างมาก ขณะที่ฝ่ายค้านรุมจวกงบกลาง เบิกจ่ายไม่ฉุกเฉินจริง ‘ศิริกัญญา’ ฉะรัฐบาลตั้งงบกลางหมื่นล้าน แต่ไม่เบิกจ่ายสักบาทเดียว ด้าน ‘พริษฐ์’ จับไต๋ ไร้เลือกตั้งปี 66 หลัง กกต.ไม่ของบจัดกาบัตร จวกหน่วยงานไม่รอบคอบ คิดไม่ออกของบกลาง ขณะที่ ‘สุทิน’ แฉกลิ่นทุจริตโชย ใกล้เลือกตั้ง คิดเป็นอื่นไม่ได้
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 วาระที่สอง ได้ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ในการพิจารณามาตรา 6 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง จำนวน 590,470,000,000 บาท ที่จำแนกเป็น 12 รายการ โดย กมธ. และ ส.ส.ฝ่ายค้านทั้ง พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ต่างอภิปรายไปในทิศทางเดียวกันคือ การเสนอปรับลดงบกลางลง เนื่องจากเป็นการตั้งงบที่ไม่ได้นำไปใช้ในงานเร่งด่วน และฉุกเฉิน งบจำนวนมากนำไปใช้จ่ายให้กับเงินเดือนข้าราชการ อีกทั้งยังไม่มีความโปร่งใส และตรวจสอบยาก
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.ที่ขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า จากรายงานของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา พบว่างบกลางมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส 3 เรื่องคือ 1.กระบวนการพิจารณา 2.กระบวนการใช้จ่าย และ 3.กระบวนการตรวจสอบ โดยงบกลางในรายการเงินเลื่อนเงินเดือน และเงินปรับวุฒิข้าราชการ ที่ปี 2566 ตั้งงบไว้ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ปี 2557-2564 ไม่เคยมีการเบิกจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว ดังนั้นเราจึงสามารถปรับลดลงได้
ส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินเร่งด่วนจำเป็น ปี 2566 ตั้งงบไว้ 92,400,000,000 บาท โดยปี 2565 อนุมัติไปตามมติ ครม.แล้ว 4.4 หมื่นล้านบาท และยังต้องนำมากลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลที่ตั้งเงินเดือนไว้ไม่พอจ่ายสำหรับปีนี้ จึงต้องเข้าไปขอให้ ครม.อนุมัติอีก 2.3 หมื่นล้านบาท โดยตนได้เคยพูดว่า งบที่มีอย่างจำกัด หากไม่ปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง อาจจะกระทบกับเงินเดือนข้าราชการก็เป็นได้ และก็เป็นจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ครม.มีมติจะจัดสรรงบกลางให้กองทุนน้ำมัน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน หรืออาจจะต้องเลื่อนไปถึงงบกลางของปี 2566 หรือไม่
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า เงินสำรองจ่ายฉุกเฉินเร่งด่วนจำเป็น มีการเบิกจ่ายต่ำมากเฉลี่ย 5 ปี เบิกจ่ายเพียง 50% ทั้งนี้ งบส่วนนี้สามารถโอนเปลี่ยนแปลงระหว่างรายการงบกลางได้ โดยที่เราไม่รู้ว่าเอาไปไหน และเอาไปทำอะไร ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณควรจะต้องดูถึงความพร้อมของการดำเนินการและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการด้วย ตนจึงขอตัดลดงบกลางในทุกรายการให้เหลือ 590,000,000,046 ล้านบาท
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ กมธ.ที่ขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า ขอเสนอปรับลดงบกลาง 5% เพราะมีอัตรา 18.5% ของงบประมาณทั้งหมด ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่กลับไม่มีการวินัยในการใช้งบ จนอาจจะทำให้เกิดภาวะภัยทางศีลธรรม ในกระบวนการพิจารณาปีนี้ มีหลายครั้งที่ตั้งงบที่ดูแล้วไม่พอที่จะทำโครงการ เมื่อถามหน่วยงานนั้นไป ก็จะได้รับคำตอบว่า ไว้ไปขอจากงบกลาง ตัวอย่างแรกคือ โครงการสวัสดิการประชารัฐ ที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้คือการเพิ่มจำนวนประชากรผู้ใช้สิทธิจาก 13 ล้านคน เป็น 18-20 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 35-50% แต่การจัดการกองทุนประชารัฐสวัสดิการ พบว่ามีการเพิ่มงบเพิ่มเพียง 18% โดยทางหน่วยงานก็ชี้แจงว่าจะไปเอางบจากงบกลาง
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวอย่างที่สอง คือ งบจัดการเลือกตั้ง ถ้านายกฯ ตัดสินใจลาออก และยุบสภาในวันนี้ ตนจะไม่ติดใจหากจะใช้งบกลางมาจัดการเลือกตั้ง เพราะผ่านมา 8 ปี เราต้องยอมรับว่า การที่ท่านจะตัดสินใจลาออกก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ และเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือการคาดการณ์ แต่ตนไม่เข้าใจว่าสภาชุดนี้จะครบวาระในช่วงเดือนมีนาคม 2566 จะมีเหตุผลอะไรทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักงบประมาณไม่ตั้งงบสำหรับการเลือกตั้งในปี 2566 หรือว่าท่านรู้อะไรที่ตนไม่รู้ว่าปีหน้าจะไม่มีการเลือกตั้งตามวาระ ตนจึงถามหน่วยงานว่าจะนำเงินมาจากไหนจัดเลือกตั้ง คำตอบที่ได้คืองบกลาง ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ดีกว่าไม่รู้ๆ ๆ สักเล็กน้อย แต่ในอนาคตหากทุกหน่วยงานตั้งงบไม่รอบคอบเช่นนี้ และหวังไปพึ่งงบกลางในดาบหน้า ต่อให้นำงบกลางของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้ง 8 ปี มารวมกันก็คงไม่พอ การตั้งงบกลางสูงอาจจะทำให้สบายใจ แต่ถ้าตั้งไว้สูงแล้วทำให้หน่วยงานชะล่าใจว่าถ้าตั้งงบไม่พอก็ขอจากงบกลางได้เรื่อยๆ สุดท้ายจะมีงบไม่พอสำหรับกรณีฉุกเฉิน
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ขอปรับลดงบกลาง 20% เพราะไม่น่าจะสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วน ฉุกเฉิน เป็นที่รู้และกังวลว่าเป็นงบที่ตรวจสอบยาก และเป็นงบที่มีการเปิดช่องให้รั่วไหลมาที่สุด เพราะดูแล้วครบวงจร เมื่อประมาณปี 2561 นายกฯ ไปแก้กฎหมายระเบียบวินัยการเงินการคลัง ไปเพิ่มอำนาจให้ตัวเองในการอนุมัติงบกรณีฉุกเฉินและจำเป็นมากขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วเมื่อบ้านเมืองโปร่งใสก็ยิ่งต้องแก้ให้อำนาจลดลง ให้เข้าสู่ระบบ ซึ่งในการจัดงบประมาณปีก่อนๆ และปีนี้การจัดงบกลางเพียงแต่ตั้งเป็นก้อนกลมๆ มา โดยไม่มีรายละเอียดให้ ทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก และเมื่อ กมธ.ติดตามงบประมาณ สภาฯ ไปดูการใช้งบและขอเอกสาร ก็ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือมีการปกปิดข้อมูลและไม่ให้รายละเอียด ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสและมีเงื่อนงำ ซึ่งดูได้จากการที่นายกฯ อนุมัติงบกลางไปให้มหาวิทยาลัย 2-3 แห่งไปทำวิจัย โดยการอ้างโควิด ไม่ทราบว่าการวิจัยฉุกเฉินจำเป็นอย่างไร เพราะกลัวผลวิจัยจะออกมาต้องใช้เวลาเป็นปี จึงไม่มีเหตุผลที่ใช้งบกลางให้กับการวิจัย และเป็นการซ้ำซ้อนกับงบของกระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่ ที่สำคัญไปกระจุกอยู่ในบางมหาวิทยาลัย
“เป็นการจัดงบฯ ที่ไม่ตอบโจทย์ของประชาชน ไม่ได้เร่งด่วน ฉุกเฉินจริงๆ ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือไปพบว่าได้กลิ่นการทุจริต จึงขอย้ำว่าการใช้งบกลาง ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีปัญหา ทำให้เราคลางแคลงใจตลอด และหากปีนี้ให้งบกลางไปอีก ยิ่งเป็นปีที่เข้าสู่การเลือกตั้ง ก็คิดไปได้ทั้งนั้นว่าจะเอาไปทำอะไร ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ประชาชนจริงๆ” นายสุทิน กล่าว
ก่อนการลงมติ นายวราเทพ รัตนากร รองประธานกรรมาธิการฯ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้งมาก ชี้แจงถึงความเหมาะสมและความโปร่งใสของการตั้งงบประมาณ ที่ตั้งงบในปี 66 เป็นยอดเงินกว่า 590,000 ล้านบาท ซึ่ง กมธ.เห็นว่าควรคงไว้ ไม่ได้มีการปรับลด ด้วยเหตุผลหลักๆ ที่เพิ่มขึ้นของงบกลางปีที่แล้ว ร้อยละ 0.52 กว่า 3,060 ล้านบาท ส่วนที่ทำไมต้องนำรายการต่างๆ ไว้ในงบกลาง เพราะตามนัยกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง ใน 2 กรณี 1. ค่าใช้จ่ายที่กำหนดวัตถุประสงค์ไว้แล้ว และสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายชัดเจน แต่ไม่สามารถกำหนดจำนวนเป้าหมายได้ จึงไม่สามารถประมาณการได้ เช่น การรักษาค่าพยาบาลของข้าราชการ และบำเหน็จบำนาญ 2.ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ทราบวัตถุประสงค์ แต่ไม่สามารถคาดหมายล่วงหน้า ไม่สามารถกำหนดเป้าหมาย เช่นการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
จากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตรา 6 งบกลาง ด้วยคะแนน 229 ต่อ 100 งดออกเสียง 3 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง.- สำนักข่าวไทย