กรุงเทพฯ 19 พ.ย.-ทีมโฆษกเพื่อไทยลุยชุมชนริมน้ำใต้สะพานพระราม 8 ก่อนกิจกรรมลอยกระทงเริ่มเย็นนี้ พบขาดเงินทุนจับจองพื้นที่ค้าขาย แนะรัฐร่วมเอกชนหนุน ลดเหลื่อมล้ำ
น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยน.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และน.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยน.ส.ทิพจุฑา บุนนาค ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางพลัด พรรคเพื่อไทย ร่วมลงพื้นที่ชุมชนบ้านปูน เขตบางพลัด บริเวณใต้สะพานพระราม 8 ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานลอยกระทงเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ได้กลับมาจัดงานอีกครั้งหลังจากปีที่ผ่านมางดจัดกิจกรรมเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า ชุมชนบ้านปูนและบริเวณใกล้เคียงมีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยประมาณ 20 ร้าน จำหน่ายสินค้าใต้สะพานพระราม 8 เป็นประจำ แต่เมื่อจัดงานเทศกาลลอยกระทง กลับไม่สามารถเข้าไปจำหน่ายสินค้าในบูธที่กรุงเทพมหานครเปิดพื้นที่ให้ผู้ค้าจากภายนอกมาขายสินค้าได้ เนื่องจากไม่มีต้นทุนการจับจองร้าน ซึ่งต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 10,000-30,000 บาท ขณะที่ในวันปกติไม่มีเทศกาลลอยกระทงจะถูกจัดระเบียบและต้องยอมจ่ายค่าปรับเพื่อให้สามารถค้าขายได้ สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมาแม้รัฐบาลต้องการจัดระเบียบ และเริ่มกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ขาดการเชื่อมโยงกับคนในชุมชน
“รัฐบาลและกรุงเทพมหานครต้องให้ความสำคัญกับชุมชนให้มากขึ้น หากมีเทศกาลที่คนกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์เป็นกลุ่มแรก ควรจัดพื้นที่ให้พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยได้มีพื้นที่หารายได้เลี้ยงชีพก่อน หากบริหารจัดการได้ดีจะเป็นจุดเริ่มต้นการลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ อย่าให้ความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากรัฐรังแกกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนจนและคนรวยห่างกันมากกว่านี้” น.ส.ธีรรัตน์ กล่าว
น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า คนในชุมชนเล็ก ๆ หลายแห่งทั่วประเทศเปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอยที่กำลังทำงานอย่างหนัก แต่กลับถูกละเลย หลายครอบครัวเข้าไม่ถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 เมื่อเกิดการระบาดในบางครอบครัว มักจะเกิดการระบาดไปถึงครอบครัวใกล้เคียงจนเกิดเป็นคลัสเตอร์ เกิดปัญหาลุกลามมาถึงปัญหาปากท้อง รัฐบาลใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการสั่งปิดกิจการ ร้านอาหารและปิดพื้นที่เสี่ยง ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า แต่เยียวยาไม่ทั่วถึง ล่าช้า ไม่ทันกับความเดือดร้อนของประชาชน
“อยากให้รัฐบาลหันมาดูแลประชาชนระดับชุมชนมากขึ้น โดยรนำมาตรการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ของภาคเอกชนหรือห้างสรรพสินค้ามาปรับใช้กับชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนกลับไปทำมาหาเลี้ยงชีพและอยู่กับโควิดให้ได้ วัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 ต้องจัดหามาให้ทันป้องกันการระบาดระลอกใหม่ด้วย” น.ส.ตรีชฎา กล่าว
น.ส.ชญาภา กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการและช่วยเหลือของภาครัฐประสบความลำบากมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนเพื่อต่อชีวิต สร้างรายได้ จนต้องพึ่งพาระบบการปล่อยสินเชื่อในชุมชนผ่านระบบความไว้ใจ สะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้ประชาชนช่วยเหลือประคับประคองกันเอง โดยที่ภาครัฐไม่เคยมองเห็น จึงมีความเป็นห่วงสถานการณ์การดูแลกันเองของประชาชนในลักษณะเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในอีกหลายจังหวัด
“อยากให้ภาครัฐ ประสานความร่วมมือทำงานร่วมกับเอกชนและประชาชน ออกมาตรการต่างๆ สร้างผลบวกกับประชาชนมากกว่านี้ เช่น ปลดล็อกการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยเข้าถึงในระดับชุมชน หรือรื้อฟื้นโครงการสินเชื่อ SML กองทุนหมู่บ้านธนาคารประชาชนในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยมาปรับใช้ได้” น.ส.ชญาภา กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.ทิพจุฑา ได้สนับสนุนทีมกู้ภัย (Life Gard) จำนวน 6 คน เข้ามาให้การช่วยเหลือป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการลอยกระทงและร่วมกันจับตาเด็กและเยาวชนชุมชนริมน้ำที่ต้องการหารายได้พิเศษในช่วงเทศกาลลอยกระทง ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00-24.00 น..-สำนักข่าวไทย