กทม. 26 ต.ค.- “สุขุม” มอง ศึก พปชร.ใกล้บทสรุปแล้ว เชื่อ “นายกฯ-บิ๊กป้อม” เคยงอนกันจริงแต่ไม่ถึงกับแตกหัก ชี้ แม้ไม่มี “ธรรมนัส” พปชร.ก็อาจขัดแย้งอีก เหตุ ‘สามมิตร’ ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ระบุ ปัญหาครั้งนี้สะท้อนอำนาจที่แท้จริงของ 3 ป.
นายสุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เปิดเผยกับสำนักข่าวไทยถึงกระแสข่าวการปรับโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐใหม่โดยให้กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันลาออกเกินครึ่งหนึ่ง โดยเชื่อว่า คงจะถึงบทสรุปแล้ว และที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอ้างถึงผู้ใหญ่นั้น ก็เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีคงจะได้พูดคุยกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีแล้วว่า สิ่งที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐกระทำนั้น เพื่อตีเมืองขึ้นของตนเอง และเพื่อดึงให้ ส.ส.ภาคใต้มายอมรับตัวเอง
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรที่ดูเหมือนจะมีอาการงอนกันนั้น นายสุขุมเชื่อว่า ไม่ใช่การเล่นละคร ก็น่าจะงอนกันจริงๆ แต่ไม่ถึงกับโกรธกันและตัดขาดกันแบบแยกทางกันเดิน ความเป็นมาของทั้งสองคนผูกพันกันมากกว่าการกระทบกระทั่งกันในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังเห็นว่า หากเรื่องนี้ยังไม่จบ ก็ไม่สามารถแต่งตั้ง 2 รัฐมนตรีใหม่ได้ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีก็จะระแวงอยู่ตลอดเวลาว่า จะถูกกบฏในพรรคเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะที่ในอนาคตข้างหน้าก็ยังมีพระราชกำหนดที่ค้างอยู่หลายฉบับ ทำให้เรื่องนี้ต้องจบก่อนเปิดประชุมสภาวันที่ 1 พ.ย.
นายสุขุม เชื่อว่า ร้อยเอกธรรมนัสน่าจะหลุดจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพราะมีข่าวออกตรงกันหมดว่าจะมีการลาออกของกรรมการบริหารพรรคในวันนี้ ซึ่งถ้าลาออกเกินครึ่งก็ต้องเลือกกันใหม่ และมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้คือเรื่องจริงทั้งหมด คงไม่มีเวลามาเล่นละครกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมองว่า หากจบเรื่องนี้ไปแล้ว พรรคพลังประชารัฐก็อาจจะเกิดความขัดแย้งใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าร้อยเอกธรรมนัสอาจจะถอดใจออกจากพรรค แล้วไปสร้างบ้านใหม่เหมือนกับตอนที่ถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรี คงอยู่ในพรรคลำบาก
เมื่อถามว่า หากร้อยเอกธรรมนัสออกจากพรรคแล้ว ภายในพรรคพลังประชารัฐจะเกิดความสงบเรียบร้อยใช่หรือไม่ นายสุขุม กล่าวว่า คงยังไม่สงบเรียบร้อย เพราะการเมืองคือความเคลื่อนไหวตลอดเวลา กลุ่มที่ถูกเชิญมาให้ร่วมขบวนการนี้ ก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่างเช่นกลุ่มสามมิตรที่ขณะนี้ยืนอยู่ข้างนายกรัฐมนตรี ซึ่งกลุ่มนี้ก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ต้องมีการเคลื่อนไหวใหม่เข้ามาอีก แต่เชื่อว่าไม่กล้าชนกับนายกรัฐมนตรีเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการยืนยันว่าอำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ 3 ป. .-สำนักข่าวไทย