ปลัด มท. มอบถุงยังชีพผู้ประสบภัยน้ำท่วมจันทบุรี

จันทบุรี 16 ต.ค.-ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบถุงยังชีพและเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยจังหวัดจันทบุรี เน้นย้ำบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่จัดทำข้อมูลเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก


วันนี้ (16 ต.ค. 64) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุม 4 ศาลากลางจังหวัดจันทบุรี อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี โดยมี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายอลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจันทบุรี นายอำเภอทุกอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ และบรรยายสรุป

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 64 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งทั้ง 2 ท่าน มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนทุกจังหวัดที่กำลังประสบสาธารณภัยในขณะนี้ โดยในส่วนของจังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งมีความน่ากังวล เพราะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ดังนั้น จะต้องนำบทเรียนในอดีตมาทบทวนเพื่อนำไปสู่การป้องกันให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก แล้งซ้ำซาก หนาวซ้ำซาก บ้านเรามีวัฏจักรเเบบเจ็บเเล้วไม่จำ เรียกว่า ปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำเเล้วซ้ำอีก จึงเรียกว่า “ซ้ำซาก” ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะช่วยบำรุงขวัญพี่น้องประชาชนที่อำเภอขลุง เเละอำเภอเมืองจันทบุรี คือ ต้องทบทวนระบบการเเจ้งเตือนภัย เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถหลบเลี่ยงความเสียหายทางทรัพย์สินเเละชีวิต ยกตัวอย่างเช่น กรณีการเเจ้งเตือนของวนอุทยานถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ที่ไม่ทันท่วงที ส่งผลให้มีเด็กติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ดังนั้นจึงต้องมีการเเก้ไขปัญหาที่ระบบ เพื่อให้สามารถจัดการได้ทันสถานการณ์ ซึ่งเรามีระบบแจ้งเตือนในความรับผิดชอบโดยตรง อาทิ มิสเตอร์เตือนภัย หอกระจายข่าวหมู่บ้าน มี อสม. ผู้นำ อช. ผู้แทนสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เรามีตัวแทนอยู่ในทุกชุมชน/หมู่บ้าน เราต้องบูรณาการภารกิจของทุกกระทรวง ทุกกรม เพื่อแก้ปัญหาภยันตรายร่วมกัน ซึ่งในขณะนี้ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะอยู่ในฤดูฝน ซึ่งหลังจากนี้ เราต้องเเก้ปัญหาเชิงระบบ เพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ในฤดูหนาว ฤดูร้อน เพื่อเเก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ซึ่งขณะนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นเส้นทางของน้ำ น้ำทะเลหนุน มวลน้ำมาปริมาณมาก ปะทะกันอยู่ในเมือง เเล้วทำให้น้ำท่วม รู้ว่าที่ไหนมีสิ่งกีดขวางน้ำ จุดไหนเสี่ยงดินพังทลาย จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี บูรณาการร่วมกับนายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ร่วมสำรวจพื้นที่ สิ่งกีดขวาง จุดเสี่ยงภัยและปัญหาที่อาจก่อให้เกิดน้ำท่วม เตรียมข้อมูล เพื่อยื่นเสนอรับจัดสรรงบประมาณกับทางรัฐบาล เพื่อจะได้จัดการกับปัญหาในส่วนที่ต้องใช้งบประมาณ ส่วนไหนที่สามารถทำเองได้ก็ขอให้รีบดำเนินการไปก่อน


โดย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เร่งขนย้ายสิ่งกีดขวางทางน้ำในคลองขลุ ที่อำเภอขลุง ให้เเล้วเสร็จภายใน 7 วัน และประสานให้ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาจันทบุรี พาไปดูจุดที่เกิดปัญหา โดยสั่งการให้เคลื่อนย้ายหินออกจากคลองก่อนโดยเร็ว เพื่อให้น้ำไหลลงสู่ทะเลได้สะดวก ไม่กีดขวางทางน้ำ ทำให้เรือไม่สามารถสัญจรผ่านได้ พร้อมสั่งการให้นายอำเภอขลุง เร่งรัดดำเนินคดีกับผู้ที่นำหินมาทิ้งในคลอง โดยเร่งสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินดคีโดยเร็ว  และให้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พิจารณาออกข้อบังคับในเรื่องการอนุญาตสิ่งปลูกสร้าง เพื่อแก้ไขปัญหาการระบายน้ำ ใน 2 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ 1) การพิจารณาไม่อนุญาตให้สร้างบ้านเรือนที่เสี่ยงน้ำท่วม (พื้นบ้านติดกับดิน) และ 2) การถมดินในพื้นที่ ต้องมีเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งขณะนี้ ได้เน้นย้ำสั่งการไปที่ฝ่ายกฎหมายของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ในการยกร่าง กฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เเล้ว จึงขอให้ท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรี เเจ้งและกำกับติดตามการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย เราไม่ได้ห้ามให้ถมดิน เเต่ให้มีเกณฑ์กลางไว้ใช้ ให้เสมอหรือสูงกว่าถนน โดยให้หารือร่วมกับสำนักงานโยธาธิการเเละผังเมืองจังหวัดจันทบุรี ผลักดันสู่การเป็น “จันทบุรีโมเดล” เพื่อให้เกิดการเเก้ปัญหาเป็นเชิงระบบ

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำว่า จังหวัดจันทบุรีโชคดีที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานแนวพระราชดำริ คลองภักดีรำไพ (คลองน้ำไหล) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำหลากกับน้ำทะเลหนุน รวมถึงแก้มลิง (หลุมขนมครก) สระรวม โคก หนอง นา เกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางเพื่อช่วยเเบ่งมวลน้ำไม่ให้ท่วมได้ จึงขอให้ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ช่วยกันหาพื้นที่แก้มลิง เพื่อเเบ่งมวลน้ำจากลำน้ำสาขา  พื้นที่รอบที่สูงให้มีเเก้มลิง เพื่อช่วยรับน้ำ เป็นการบริหารจัดการที่พึ่งพาตัวเองได้ หรือที่เราเรียกกันว่า “เกษตรทฤษฏีใหม่” ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอด โดยการพระราชทานภาพฝีพระหัตถ์ “โคก หนอง นา แห่งน้ำใจ และความหวัง” เพื่อให้คนไทยรู้จักและได้ทำตามแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้เข้าใจได้ง่าย เเละนำไปใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีจังหวัดตัวอย่างที่น้อมนำ โคก หนองนา โมเดลไปประยุกต์ใช้เเล้วน้ำไม่ท่วม อาทิ จังหวัดสุโขทัย กำเเพงเพชร พิษณุโลก และจังหวัดอุบลราชธานี จึงขอให้จังหวัดจันทบุรี ดำเนินการ เมื่อสำรวจเเล้ว จัดทำแผนเเม่บทชุมชน โดยทุกชุมชนควรมีแผนที่หลุมขนมครก ธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด โดยขุดดินออก เอาหินใส่ เอาสแลนปิดไม้ให้ใบไม้เข้าไปอุดตัน ทำให้มวลของดินโปร่ง เป็นที่เก็บน้ำ เเละธนาคารน้ำใต้ดิน (ป่าไม้) โดยช่วยกันปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คือ 1) ป่าไม้ใช้สอย 2) ป่าไม้กินได้ อาหาร/ยารักษาโรค 3) ป่าที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งเราจะได้รับประโยชน์อย่างที่ 4 คือ อยู่แล้วร่มเย็น สวยงาม เห็นเเล้วก็มีความสุข สิ่งเหล่านี้จำเป็น ที่สำคัญจะต้องเอาจริงเอาจัง กับการป้องกันและปราบปราม จับกุม ผู้กระทำความผิดด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ที่เข้าไปทำลายธนาคารน้ำใต้ดิน (ป่าไม้) โดยเฉพาะพื้นที่ภูเขา ขอให้นายอำเภอทุกอำเภอให้ความสำคัญ รวมถึงติดตามผลการดำเนินคดี และความคืบหน้าของคดี โดยประสานการปฏิบัติร่วมกับตำรวจภูธรในพื้นที่ เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ฝนตกไม่ตรงตามฤดู ฝนตกเเล้วทำให้ดินพังทลาย จุดไหนวางเเผนฟื้นฟูปลูกป่าได้ ขอให้ใช้กลไกอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.) มาร่วมดำเนินการด้วย

ต่อมาในเวลา 10.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และคณะ เดินทางไปเยี่ยมเยียนและพบปะพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอขลุง ณ วัดวังสรรพรส ตำบลบ่อ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งได้กล่าวให้กำลังใจพี่น้องประชาชน โดยกล่าวว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีความห่วงใยพสกนิกรชาวไทยที่กำลังประสบอุทกภัย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน และมีพระราชกระแสให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับประชาชนจิตอาสา เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โปรดให้มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนร่วมกับภาครัฐมาโดยตลอด ซึ่งในวันนี้ ผมมีความตั้งใจมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดจันทบุรี และร่วมมอบถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 100 ชุด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่พวกเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีพขณะกำลังประสบอุทกภัยได้ เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงว่า คนไทยด้วยกันไม่ทิ้งกัน มีอะไรเดือดร้อนก็มาช่วยกัน นอกจากนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการและติดตามพร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน เร่งเข้าให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ประสบสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง”


จากนั้น ในเวลา 12.15 น. ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้เดินทางต่อไปมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้แทนหมู่บ้าน/ชุมชน ในพื้นที่อำเภอเมืองจันทบุรี จำนวน 200 ชุด พร้อมพบปะให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยกล่าวว่า “ในขณะนี้ ขอให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านอย่าได้ประมาท ช่วยกันติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ รับฟังข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านทางหอกระจายข่าว ทีวี และขณะเดียวกัน ต้องดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บที่จะมากับน้ำท่วมและภัยจากอุบัติเหตุ เช่น ดื่มเหล้าจนเมาแล้ววูบจมน้ำ โรคไข้หวัด อุจจาระร่วง โรคผิวหนัง ไฟฟ้าช็อตเนื่องจากน้ำท่วมถึงบริเวณปลั๊กไฟ เป็นต้น ต้องระมัดระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และรักษาสุขอนามัย สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และช่วยกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนบ้านในชุมชน อย่าประมาท  และหากต้องการขอรับความช่วยเหลือจากสถานการณ์อุทกภัย ให้ติดต่อสายด่วนนิรภัย 1784 หากเจ็บไข้ได้ป่วยกระทันหันหรือเจอคนประสบอุบัติเหตุ โทร. 1669  และหากมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ถูกทวงหนี้ไม่เป็นไปตามกฎหมาย โทร. 1567 ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดหวังสิ่งใดให้สมความปรารถนา รอดปลอดภัยจากภัยน้ำท่วมโดยเร็ววัน และต้องระลึกเสมอว่า “เราคนไทยไม่ทิ้งกัน เราคนไทยจะช่วยเหลือกัน เราคนไทยจะดูแลซึ่งกันและกัน” ตลอดไป

ด้าน นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี  กล่าวว่า จังหวัดจันทบุรี ได้รับผลกระทบจากร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคตะวันออก และได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” และพายุโซนร้อน “คมปาซุ” ทำให้มีฝนตกต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2564 และได้ตกหนักสะสมตั้งเเต่วันที่ 12 ตุลาคม 2564 เวลา 21.00 น. จนถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2564 เวลา 03.00 น. และได้มีน้ำทะเลหนุนทำให้เกิดมวลน้ำสะสมจำนวนมากตามลำน้ำสาขาเข้าท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดจันทบุรี โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองจันทบุรี อ.ขลุง อ.ท่าใหม่ อ.มะขาม อ.แหลมสิงห์ และอ.เขาคิชกูฏ รวม 46 ตำบล 254 หมู่บ้าน 11 ชุมชน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 10,000 ครัวเรือน (กว่า 27,000 คน)  

สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอชื่นชมการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมของจังหวัดจันทบุรี ซึ่งนับว่ามีแผนการเผชิญเหตุที่ดี และการฟื้นฟูเหตุที่ดีมาก ขอให้เตรียมเเผนเผชิญเหตุ โดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบหน้าที่ของตนเอง ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย เเละหลังเกิดภัย โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการสำรวจพื้นที่จุดอ่อน จุดเสี่ยง เพื่อเร่งดำเนินการจัดทำคำของบประมาณกับทางรัฐบาล เพื่อเเก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเร็ว ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติยึดมั่นและปฏิบัติตามอุดมการณ์ อย่าท้อ แม้ว่าเงินเดือนไม่มากเท่าเอกชน เเต่สามารถทำให้เรามีงานที่มั่นคงได้ ขอให้ยึดว่าเราทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชน ให้เกิดความสุข อย่างยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง

กทม. 26 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เตือน 7 จังหวัดรับมือ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “ก๋อมัย” บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย สำนักข่าวไทย

9 ทันโลก : แจงด่วน! คณะมนตรีความมั่นคง ไทยนี้รักสงบ

25 ก.ค. – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามที่กัมพูชาร้องขอไว้ รายงาน 9 ทันโลก พาไปติดตามบทบาทและโอกาสของไทยบนเวทีสำคัญนี้ ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาตินานเกือบ 80 ปี จะได้แสดงบทบาทอีกครั้งในคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการสื่อสารกับประชาคมโลก ถึงการกระทำของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายด้าน รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติที่ไทยยึดมั่น ในห้องประชุมนี้ ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ ลำดับที่ 55 จะทำหน้าที่อีกครั้งในภารกิจด้านสันติภาพ ตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกเมื่อปี 2489 ที่นี่ไทยเคยทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคง โดยพลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา และหม่อมหลวง พีระพงศ์ เกษมศรี ทำหน้าที่สองวาระ ในปี 2528 และ 2529 ในเวลาที่สงครามเย็นคุกรุ่น มาในวันนี้ไทยกำลังจะมีโอกาสอันดีที่ได้ใช้ช่องทางการทูตสำคัญ เสาหลักความมั่นคงของสหประชาชาติ ในอีกบทบาทหนึ่งที่ยังคงอยู่บนพื้นฐานการแสวงหาสันติภาพตามกลไกนี้ เมื่อประเทศสมาชิก ในกรณีนี้คือกัมพูชา ร้องขอให้เปิดประชุมเร่งด่วน สมาชิกคณะมนตรีซึ่งมีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ และสมาชิกไม่ถาวร 10 ประเทศ พิจารณากรณีที่เป็นภัยคุกคามใดต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น กรณีการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา […]

น่านยังอ่วม บางจุดน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร

น่าน 25 ก.ค. – เข้าสู่วันที่ 3 น้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ของเมืองน่าน แม้ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว แต่ในตัวเมือง-เขตเศรษฐกิจยังท่วมสูง บางจุดระดับน้ำเกือบ 2 เมตร ขณะที่ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” นำทีมกู้ภัยฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน .-สำนักข่าวไทย

มีผลทันที! ประกาศกฎอัยการศึก 8 อำเภอ “จันทบุรี-ตราด”

25 ก.ค.- กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ประกาศใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่ มีผลทันที กองทัพเรือ โดย กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “ประกาศใช้กฎอัยการศึก” บางพื้นที่ ดังนี้ ตามที่ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลา 21.05 นาฬิกา ซึ่งต่อมาได้มีพระบรมราชโองการเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ และให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 นั้น โดยที่ปรากฏว่าประเทศกัมพูชาได้ใช้กำลังและอาวุธรุกรานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตลอดแนวชายแดน จึงมีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่ต้องใช้กำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อป้องกันประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามอันมีที่มาจากภายนอกราชอาณาจักรดังกล่าว เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 176 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 จึงให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 จังหวัดจันทบุรี อำเภอเมืองจันทบุรี […]