กทม. 6 ส.ค.-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมทั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรง
โดยพบการลักลอบข้ามแดน ต่อเนื่อง จากความต้องการแรงงานในประเทศที่ยังมีสูง มีผู้ลักลอบเข้าเมืองตกค้างตามชายแดนจำนวนมาก เนื่องจากประเทศต้นทางไม่เปิดรับกลับ บางส่วนเป็นชนเผ่าและชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีการรับรองสถานภาพ ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้านยังรุนแรง พบผู้ติดเชื้อในอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ที่มีปัญหาการเมืองและสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิดที่อยู่ในสภาวะวิกฤตและข้อจำกัดของระบบสาธารณสุข ที่อาจส่งผลให้มีการลักลอบเข้าเมืองจากเมียนมามากขึ้น
พล.อ.ประวิตร ย้ำเป็นนโยบายและสั่งการ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตำรวจ รวมทั้งกระทรวงแรงงาน ประสานร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังทั้วพื้นที่ชายแดน ทั้งปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบค้าอาวุธ และยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรค พร้อมกำชับถึงสถานการณ์วิกฤตในประเทศเมียนมา ขอให้ทุกจังหวัดที่ชายแดนติดเมียนมา เตรียมพร้อมและพัฒนาแผนรองรับผู้หนีภัยความไม่สงบ โดยให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน จัดให้มีพื้นที่รองรับและสถานกักกันโรคอย่างเพียงพอ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ให้ติดตามเฝ้าระวังและทำลายโครงสร้างขบวนการค้าอาวุธสงคราม เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขขยายความรุนแรงในเมียนมาอย่างเด็ดขาด
สำหรับพื้นที่ชั้นใน ขอให้กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานกับตำรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดและลงโทษสูงสุดกับผู้นำพาและขบวนการค้าแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้สืบเชื่อมโยงไปถึงการค้ามนุษย์ และขอให้เร่งพิจารณาแนวทางทะยอยนำแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบตามกฎหมาย ภายใต้มาตการ กักตัวควบคุมโรค โดยเริ่มจากผู้ประกอบการที่มีความพร้อม เพื่อบรรเทาความต้องการแรงงานและลดการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมย้ำให้หัวหน้าหน่วยงานทุกระดับลงกำกับ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตหรือเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด-สำนักข่าวไทย
พล.อ.ประวิตร ประชุมหน่วยงานความมั่นคง รับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนช่วงโควิด สั่งทุกจังหวัดที่ติดกับเมียนมาติดตามใกล้ชิด
กทม. 6 ส.ค.-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมทั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรง
โดยพบการลักลอบข้ามแดน ต่อเนื่อง จากความต้องการแรงงานในประเทศที่ยังมีสูง มีผู้ลักลอบเข้าเมืองตกค้างตามชายแดนจำนวนมาก เนื่องจากประเทศต้นทางไม่เปิดรับกลับ บางส่วนเป็นชนเผ่าและชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีการรับรองสถานภาพ ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้านยังรุนแรง พบผู้ติดเชื้อในอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ที่มีปัญหาการเมืองและสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิดที่อยู่ในสภาวะวิกฤตและข้อจำกัดของระบบสาธารณสุข ที่อาจส่งผลให้มีการลักลอบเข้าเมืองจากเมียนมามากขึ้น
พล.อ.ประวิตร ย้ำเป็นนโยบายและสั่งการ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตำรวจ รวมทั้งกระทรวงแรงงาน ประสานร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังทั้วพื้นที่ชายแดน ทั้งปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบค้าอาวุธ และยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรค พร้อมกำชับถึงสถานการณ์วิกฤตในประเทศเมียนมา ขอให้ทุกจังหวัดที่ชายแดนติดเมียนมา เตรียมพร้อมและพัฒนาแผนรองรับผู้หนีภัยความไม่สงบ โดยให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน จัดให้มีพื้นที่รองรับและสถานกักกันโรคอย่างเพียงพอ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ให้ติดตามเฝ้าระวังและทำลายโครงสร้างขบวนการค้าอาวุธสงคราม เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขขยายความรุนแรงในเมียนมาอย่างเด็ดขาด
สำหรับพื้นที่ชั้นใน ขอให้กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานกับตำรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดและลงโทษสูงสุดกับผู้นำพาและขบวนการค้าแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้สืบเชื่อมโยงไปถึงการค้ามนุษย์ และขอให้เร่งพิจารณาแนวทางทะยอยนำแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบตามกฎหมาย ภายใต้มาตการ กักตัวควบคุมโรค โดยเริ่มจากผู้ประกอบการที่มีความพร้อม เพื่อบรรเทาความต้องการแรงงานและลดการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมย้ำให้หัวหน้าหน่วยงานทุกระดับลงกำกับ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตหรือเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด-สำนักข่าวไทย