ม.ธรรมศาสตร์ 6 เม.ย. – “ปิยบุตร” นำทีมกลุ่ม Resolution คิกออฟล่าล้านชื่อแก้ รธน. รื้อระบอบประยุทธ์ สกัดกั้นสืบทอดอำนาจ ดันรัฐสภาเดี่ยว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.00 น. วันนี้ (6 เม.ย.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่ม Resolution ซึ่งประกอบด้วย คณะก้าวหน้า กลุ่มไอลอว์ กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล นำโดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เปิดแคมเปญรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ปลดอาวุธ คสช. ภายใต้สโลแกน “ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” เพื่อลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญเปิดทางสู่ประชาธิปไตย โดยมีการตั้งโต๊ะให้ประชาชนสามารถมาร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางความสนใจของประชาชนทั่วไปและกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมถึงพระสงฆ์ ทยอยเดินทางมาลงชื่ออย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ แกนนำราษฎร และ น.ส.ชญาธนุส ศรทัตต์ หรือ เฌอเอม อดีตผู้เข้าประกวดจากเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 มาร่วมลงชื่อกิจกรรมในครั้งนี้ รวมถึง ส.ส.พรรคก้าวไกล อาทิ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์
ทั้งนี้ นายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดกิจกรรมว่า เหตุผลที่มีการรณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เราทำในนามของกลุ่ม Resolution โดยการลงชื่อครั้งนี้ คือ การเข้าชื่อตามสิทธิรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เป็นการใช้สิทธิของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง 50,000 คนขึ้นไป เข้าชื่อเพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 มี 3 ช่องทางใหญ่ๆ คือ 1. การยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งฉบับ และทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยปราศจากข้อจำกัดใดๆ ซึ่งในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยวิถีนอกรัฐธรรมนูญ คือ การทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งและเขียนฉบับใหม่ ซึ่งเราไม่ประสงค์ให้เกิด จึงมีวิธีการที่ 2 คือ การทำประชามติ เพื่อเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แล้วให้ประชาชนร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับ โดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งไม่ใช่การทำประชามติภายใต้ระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ แต่ต้องเป็นประชามติตามอำนาจสถาปนาของประชาชน
นายปิยบุตร กล่าวว่า ช่องทางที่ 2 ที่ได้ทำไปแล้ว คือ การแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร) เพื่อทำใหม่ทั้งฉบับ แต่ปรากฏว่าถูกเบี้ยวลงไปดื้อๆ ถูกทำให้ตกไป ส่วนช่องทางที่ 3 คือ การแก้ไขรายมาตรา โดยในรัฐสภาเริ่มมีการพูดกันแล้ว แต่เป็นประเด็นที่เล็กมาก เช่น เรื่องระบบเลือกตั้ง ก็เป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง หรือแก้ไขมาตรา 144 ให้ ส.ส.สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับการใช้งบประมาณ ที่ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างใดๆ จึงเป็นที่มาให้กลุ่มของพวกเราจัดกิจกรรมรณรงค์ออกมาใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เข้าชื่อเสนอแก้ไขรายมาตรา แล้วเสนอแก้ประเด็นใหญ่ๆ เป็นการแก้ไขเพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้วางกลไกหลายอย่างที่ค้ำยันระบอบประยุทธ์ไว้ได้
เมื่อถามว่า มีการเสนอจะแก้ไขอำนาจที่มาของ ส.ว. จะเป็นไปได้หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเสียงของรัฐสภาไม่แยแสเสียงของประชาชน ตีตกในข้อเสนอ หลายคนเป็นห่วงว่า ล่ารายชื่อไปก็หวั่นจะโดนตีตกอีก แต่ครั้งนี้จะแตกต่างจากเดิม โดยจะรณรงค์ให้ได้รายชื่อมากขึ้น และรณรงค์ในประเด็นที่พุ่งตรง ที่เป็นใจกลางของปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ ส.ว. 250 คน ซึ่งถ้าหากเราได้รายชื่อหลายแสนคนหรือเป็นล้านคน ส.ว.ทั้ง 250 คน จะต้องถูกกดดัน ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด และหาก ส.ว. ยังไม่แยแสเสียงเรียกร้องของประชาชน ผลลัพธ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า ตั้งเป้าการล่ารายชื่อไว้ใช้ระยะเวลาเท่าไร นายปิยบุตร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 4 ปี ของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เฉลี่ยประเทศเรามีรัฐธรรมนูญมา 4 ปีครึ่ง ต่อ 1 ฉบับ เพราะเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ ดังนั้น จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาทบทวน และประชาชนก็เห็นอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชมาพอสมควร จึงต้องเริ่มรณรงค์ โดยตั้งเป้าแรก 6 เดือน และดูว่าจะได้จำนวนรายชื่อมากพอหรือไม่ แต่ต้องให้เกิน 50,000 คน หรืออาจจะถึงหลักแสนหลักล้าน เพื่อให้เป็นนัยสำคัญในการส่งเสียงไปถึงสถาบันการเมืองและ ส.ว.
เมื่อถามว่า หมวด 1 และหมวด 2 นั้นเป็นการลดเพดาน เพื่อเพิ่มแนวร่วมใช่หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนยังยืนยันว่ารัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำทั้งฉบับ โดยเฉพาะในหมวด 2 มีหลายส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และรัฐธรรมนูญไทยไม่ได้ห้ามการแก้หมวด 1 และหมวด 2 แต่สำหรับการรณรงค์ในครั้งนี้ เรามุ่งเน้นไปที่กลไกการขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสืบทอดอำนาจของ คสช.ไว้ ส่วนประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะรณรงค์ทางความคิดและทางวิชาการต่อไป
“อนาคตหากต้องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 มีประเด็นใดบ้างที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย วันนี้เรามุ่งเป้าที่ 4 ประเด็นใหญ่ คือ การยกเลิกวุฒิสภา โละศาลรัฐธรรมนูญเรื่องขององค์กรอิสระ การยกเลิกแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศ ล้างมรดกคณะรัฐประหาร การไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจเรื่องนั้น วันนี้เราแค่รณรงค์ 4 ประเด็นนี้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจเรื่องหมวด 1 และหมวด 2” นายปิยบุตร กล่าว
ขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า กล่าวว่า นอกจากการให้มี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เราจะเดินคู่ขนานขับเคลื่อนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด คือ การที่ระบอบประยุทธ์ หรือ คสช.ใช้ในการสืบทอดอำนาจ โดยจะครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ประเด็นแรก คือ การรื้อวุฒิสภา 250 คน เพราะเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจที่ชัดเจน เพราะมาจากการแต่งตั้งของ คสช. มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี จัดตั้งองค์กรอิสระ ปฏิรูปกฎหมายประเทศ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นถ้าจะสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจได้ จำเป็นจะต้องรัฐสภาเดี่ยวที่มีแต่สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง 500 คน
ประเด็นที่ 2 คือ การปฏิรูปที่มาและอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ปัจจุบันองค์กรเหล่านี้ต้องผ่านการรับรองจาก ส.ว. ทำให้ประชาชนขาดความศรัทธา และตั้งคำถามถึงความเป็นกลาง เพราะฉะนั้นถ้ายุบเหลือสภาเดี่ยว และใช้กระบวนการสรรหากรรมการองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้เกิดการยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น รวมไปถึงการวางขอบเขตอำนาจให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า กระบวนการยุติธรรม กระบวนการจัดการเลือกตั้ง และการตรวจสอบทุจริต มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง
ประเด็นที่ 3 คือ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพราะอันตรายตรงที่ว่า หากนักการเมืองคนไหนไม่ทำตามยุทธศาสตร์ชาติใน 20 ปีข้างหน้า ก็จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้ ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลควรมีความยืดหยุ่น และเป็นผู้ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประเด็นสุดท้าย คือ การล้างมรดกรัฐประหาร โดยการยกเลิกมาตรา 279 ที่ปัจจุบันเป็นการนิรโทษกรรมให้คำสั่ง คสช.ทุกฉบับเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจะต้องมีการยกเลิกมาตรานี้ เพื่อหวังให้ประเทศไทยปลอดการรัฐประหาร. – สำนักข่าวไทย