ทำเนียบ 2 เม.ย. –ไทยขอเมียนมา ยุติการใช้ความรุนแรง หาทางออกด้วยสันติวิธี ระบุ ยังไม่ถึงระดับให้คนไทยอพยพกลับประเทศ เผย เตรียมหารือสถานการณ์และกำหนดจุดยืนในการประชุมอาเซียนซัมมิท เมษายนนี้
ทำเนียบ 2 เม.ย.-นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์เมียนมา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและได้สั่งการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานในพื้นที่ชายแดน และให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ทั้งกองทัพบก กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง บูรณาการทำงานร่วมกัน พร้อมการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมประเมินสถานการณ์ และดูแลผู้หนีภัยที่เข้ามาตามแนวชายแดนของไทย ซึ่งการดูแลจะเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมและตามหลักสากล
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังสั่งการให้ความสำคัญในการดูแลตามหลักสาธารณสุข ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งหน่วยงานได้ยึดถือแฏิบัติและรายงานนายกฯต่อเนื่อง และภายในเดือนเมษายน นี้ จะมีการจัดการประชุมอาเซียนซัมมิท ซึ่งหวังว่าการประเมินสถานการณ์และความชัดเจนในท่าทีของอาเซียน รวมถึงการได้รับข้อมูลโดยตรงจากเมียนมา จะเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้ประเทศอาเซียน เข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น และเตรียมความพร้อมในส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องที่ต้องดำเนินการด้วย
ด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำท่าทีของไทยต่อสถานการณ์เมียนมา ว่า ไทยไม่สบายใจต่อรายงานการเสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนเมียนมา จึงขอให้ทางการเมียนมาใช้ความอดทนอดกลั้นในการดำเนินการใดๆ รวมถึงการคลี่คลายสถานการณ์ ยุติการใช้ความรุนแรง และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัว และขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พยายามร่วมกันหาทางออกด้วยสันติวิธี ด้วยการพูดคุยผ่านช่องทางที่อย่างสร้างสรรค์โดยเร็ว ทั้งนี้ไทยและอาเซียน กำลังทำงานกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงเมียนมา เพื่อให้เกิดสันติภาพในเมียนมา และให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเกิดประโยชน์ไม่เฉพาะกับเมียนมา แต่จะเป็นประโยชน์กับอาเซียน ภูมิภาคและนอกภูมิภาคด้วย
นายธานี กล่าวว่า ส่วนการช่วยเหลือคนไทยในเมียนมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับรายงานจากสถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ว่าสถานการณ์ในกรุงย่างกุ้งยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ยังมีการประท้วงและมีการปะทะกันเป็นจุดๆ แต่ยังสามารถจัดหาอาหารและของใช้ได้ โดยสะดวกและไม่ขาดแคลน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ กรมการกงสุล และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อม ในการช่วยเหลืออพยพคนไทยไว้แล้วและมีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยสถานเอกอัครราชทูตร่วมกับทีมประเทศไทย ผู้แทนชุมชนไทย และภาคธุรกิจไทย ได้ประชุมประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง รวมถึงปรับปรุงแผนอพยพคนไทยมาตลอด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วยความรอบคอบและรัดกุม ซึ่งปัจจุบันมีคนไทย ในกรุงย่างกุ้ง 447 คน และในรัฐต่างๆ 272 คน รวม มีคนไทยในเมียนมา 719 คน ที่ได้แจ้งไว้กับสถานทูต และจากการประเมินสถานการณ์ ยังไม่ถึงระดับที่ต้องเตือนให้อพยพกลับไทย แต่หากสถานการณ์ยกระดับขึ้นอีก ก็ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้วทุกขั้นตอน ซึ่งการอำนวยความสะดวกในการกลับประเทศไทยทางอากาศในช่วง โควิด-19 สถานเอกอัครราชทูต ได้ประสานเที่ยวบินออกจากเมียนมา สำหรับคนไทยไว้แล้ว 3 เที่ยวบิน เที่ยวบินกแรก วันที่ 6 เมษายน 2 เที่ยวบิน และ 9 เมษายน อีก 1 เที่ยวบิน ซึ่งคนไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลัย สามารถแจ้งความประสงค์มาได้ ทั้งทางเว็บไซต์และเฟสบุ๊ค
ทั้งนี้รัฐบาลขอ ยืนยันว่า การให้ความช่วยเหลือดูแลสวัสดิภาพคนไทยในเมียนมา และทั้งโลก เป็นหน้าที่สำคัญที่สุด โดยไม่เคยนิ่งนอนใจ เนื่องจากตระหนักในหน้าที่และทำงานอย่างเต็มความสามารถ
ส่วนประเด็นผู้หนีภัยความไม่สงบบริเวณชายแดนไทนเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาชาวเมียนมา เชื้อสายกะเหรี่ยงหนีภัยการสู้รบและข้ามมาฝั่งไทยด้านจังหวัดแม่ฮ่อสอน ในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียง ซึ่งเป็นผลจากการปะทะของรัฐบาลเมียนมาและกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือ เคเอ็นยู ฝ่ายไทยติดตามอย่างใกล้ชิด และประเมินเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนโยบายสำหรับผู้หนีภัย ที่ผ่านมาไทยมีประสบการณ์ในการรับมือผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน และให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม และตามหลักสากล
ส่วนข้อกังวลที่จะมีผู้หนีภัยเข้ามาจำนวนมาก ฝ่ายความมั่นคงและจังหวัดแนวชายแดน ได้เตรียมความพร้อม แนวปฎิบัติและสถานที่ไว้แล้ว รวมถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19
นายธานี กล่าวว่า เมื่อ 30 มีนาคม ไทยได้ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกผู้หนีภัยและผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 คน ซึ่งยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล สำหรับจำนวนผู้หนีภัย นับถึงวันที่ 1 เมษายน คงเหลือ 216 คน และมีผู้หนีภัยกลุ่มใหม่ เข้ามาอีกจำนวน 951 คน รวมมีผู้หนีภัยในจังหวัดแม่ฮ่องสอนทั้งสิ้น 1,167 คน ซึ่งมีการทยอยเดินทางกลับต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย