ทำเนียบ 10 ก.พ.-“พิชัย” ยังไม่ขอตอบข้อเสนอ “ขยายเพดานหนี้สาธารณะเกิน 70%” หากจะทำขอเป็นทางเลือกสุดท้าย ยอมรับต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมา หากหวังจะเห็นจีดีพีปี 68 โต 3.5%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึง ข้อเสนอนายอาทิตย์ นันทวิยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอส ซีบีเอ็กซ์ จำกัด ขยายเพดานหนี้สาธารณะเกิน 70% ชั่วคราว หวังเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจว่า ส่วนตัวของตนนั้นอยากได้ แต่ในมุมมองของการบริหารจัดการ การขยายเพดานหนี้ หมายถึง การที่อนุญาตให้เพิ่มหนี้ได้ แต่ก็ต้องมาพิจารณาว่า จะบริหารจัดการการใช้เงินอย่างไร ซึ่งก็ต้องดูเรื่องของการจัดทำงบประมาณ และต้องดูว่า สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหรือไม่ แล้วถึงค่อยไปคิดถึงเรื่องการขยายเพดานหนี้ ถ้าเราทำได้ดีและเศรษฐกิจโตอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ จึงยังไม่ถึงเวลาที่จะตอบ
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ายังไม่ถึงเวลาที่ขยายเพดานหนี้ตอนนี้ใช่หรือไม่ นายพิชัย มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องท้ายๆ การที่จะทำเรื่องใดต้องไปพิจารณาว่า ทำเพราะอะไร หรือมีเรื่องใดที่ต้องปรับปรุงก่อนหรือไม่ หากว่าทำเต็มที่แล้ว และสิ่งที่จะทำ ถ้าทำชั่วคราวแล้วดีขึ้นค่อยว่ากันอีกที
สำหรับนโยบายของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเน้นเรื่องการขึ้นภาษี ซึ่งมีข่าวว่า ทางกระทรวงการคลังจะมีการตั้งวอร์รูมเพื่อดูเรื่องนี้ นายพิชัย กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าทางสหรัฐฯ ก็พร้อมที่จะขึ้นหรือลงภาษีอยู่แล้วเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งเราต้องพิจารณาว่าระหว่างไทยกับสหรัฐมีอะไรบ้างที่แตกต่างกัน ที่ผ่านมาไทยกับสหรัฐมีการค้าขายกันอย่างไร ซึ่งต้องมาดูให้ละเอียดว่าภาพรวมเป็นอย่างไร
“พูดตรงๆ นะ ถ้าเราประเมินเราไม่ควรพูดมาก ก็ควรต้องรู้ว่า เขามาอย่างนี้ และเอาอย่างนี้ ซึ่งผมก็จะเจอสภาของนักธุรกิจสหรัฐ ก็คงไปคุยว่า พวกคุณห่วงอะไร ผมก็มองว่า เขาน่าจะห่วง 2-3 เรื่อง ห่วงเรื่องภาษีว่าจะเดินอย่างไร และอันที่ 2 ผมดูแล้วว่า พอนโยบายเป็นแบบนี้ ทุกคนก็หันมาสนใจพลังงานอีกครั้ง เขาก็มานั่งถามเราว่า พลังงานประเทศไทยจะว่าอย่างไร ส่วนใหญ่ก็ถามสองสามเรื่องนี้ และตลาดก็อยู่ที่นี้ เรานำเข้าไม่ถามเรื่องนี้ จะถามอะไร” นายพิชัย กล่าว
ส่วนที่มีข้อเสนอว่าให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐนั้น นายพิชัย กล่าวว่า เราจะนำเข้าสินค้าที่เราต้องการมากกว่า แต่ต้องดูเรื่องของคุณภาพและราคาที่ต้องอยู่ในเกณฑ์ด้วย ซึ่งตนก็เชื่อว่า มีสินค้าบางประเภทก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะนำเข้าได้
นายพิชัย กล่าวถึง การผลักดันให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) โตได้ 3.5% ว่า ตัวที่ขับเคลื่อนสำคัญก็คือ เรื่องความเชื่อมั่น ซึ่งวันนี้ความเชื่อมั่นยังดูน้อยอยู่ ซึ่งการที่ทำให้คนกลับมาเชื่อมั่นต้องใช้หลายๆรูปแบบ ก็พยายามทำทุกๆ จัดแล้วก็ยังเชื่อว่า จะทำให้ดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 67 รัฐบาลก็พยายามให้เกิดการลงทุนจริง เกิดการสร้างโรงงานจริง เกิดการจ้างงานจริง ซึ่งปัญหาความไม่เชื่อมั่นก็เกิดขึ้นกันทั่วโลก ทุกประเทศก็เกิดปัญหาคล้ายกัน จึงเป็นช่วงที่ทุกคนไม่มีความชัดเจน ไม่ตัดสินใจ หรือเลือกที่จะเก็บเงินไว้ดีกว่า หรือบริโภคน้อยลง ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ.-315.-สำนักข่าวไทย