กทม.6 ก.ค.-“ปริญญา” มองเลือก สว.รอบหน้าเปลี่ยนระบบใหม่ ชี้พรรคสีแดงทำคะแนนไม่ทะลุเป้า ทำพรรคอันดับ 3 เนื้อหอมมีเสียงสองสภา ส่งผลอำนาจต่อรองสูง ขณะที่ศึก อบจ.ปทุมธานี ทุกอย่างจบที่ศาล มองเพื่อไทยไม่ถือเป็นการการันตีพื้นที่ หลังก้าวไกลไม่ส่งคนลงชิง
การจัดกิจกรรมเสวนา “ส่อง สว.ใหม่ ความหวังหรือวิกฤตครั้งใหม่” ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ช่วงท้สย นาย ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการเลือกสว.ในระบบการเลือกกันเอง ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 ที่มีระบบซับซ้อนเกินไป แก้แค่ พ.ร.ป.จึงมีโอกาสมากกว่า เพราะไม่มีเงื่อนไขการใช้เสียง สส.และ สว.1 ใน 3 จึงมองว่าครั้งหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือก สว.ใหม่
อย่างไรก็ตาม หากให้วิเคราะห์การเมืองในมุมมองของกฎหมายเป็นที่ชัดเจนว่า พรรคสีแดง ต้องการให้มีเครือข่ายในวุฒิสภาอาจไม่ทะลุเป้า แต่พรรคที่ทำบรรลุเกินเป้าคืออีกพรรคหนึ่ง ซึ่งก็คือพรรคลำดับที่ 3 จึงแปลว่าพรรครัฐบาลจะไปคาดหวังให้มีอำนาจต่อรองจากวุฒิสภา โดยเฉพาะนายทักษิณ ที่คาดหวังว่า สว.จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้นไม่สำเร็จ หมายความว่าพรรคสีน้ำเงินจะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น เนื่องจากพรรคลำดับหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน พรรคลำดับ 2 เป็นรัฐบาล และพรรคลำดับ 3 เนื้อหอมอยู่แล้ว ส่วนจะถึงขั้นวิกฤตอะไรหรือไม่ ต้องรอดูว่า กตต.จะประกาศช้าหรือเร็ว รวมถึงต้องดูชะตากรรมของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าจะเป็นเช่นไร ซึ่งรวมไปถึงชะตากรรมของพรรคอันดับหนึ่งสีส้มด้วย
ส่วนการเลือกนายก อบจ. ที่นายชาญ พวงเพ็ชร์ ว่าที่นายก อบจ. มีคะแนนชนะฉิวเฉียด สะท้อนถึงคะแนนนิยมของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายปริญญา ยอมรับว่ามีผล เมื่อนายทักษิณ และผู้นำพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง แม้ว่าจะชนะ 1,000 กว่าคะแนน แต่ถือว่านายทักษิณ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะมีหลายเรื่องเกี่ยวพันกัน ซึ่งต้องเข้าใจว่าจังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่เดิมของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังกลับเสียพื้นที่ให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งก่อนหน้านี้ นายชาญ ก็เคยเป็นอดีตนายก อบจ.หลายสมัย แต่เพิ่งมาแพ้ พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ในสมัยที่ผ่านมา ฉะนั้นในทางกลับกันต้องวิเคราะห์ด้วยว่าเหตุใด พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ถึงแพ้ ซึ่งส่วนหนึ่งการเลือกก่อนเวลาอาจเป็นหนึ่งปัจจัย และอีกปัจจัยข้อหนึ่งคือเลือกนายก อบจ.ปทุมธานี สองครั้งที่ผ่านมา เป็นการเลือกในช่วงปิดเทอม ขณะที่ จังหวัดปทุมธานี มีมหาวิทยาลัย 10 กว่าแห่ง ซึ่งนักศึกษาส่วนหนึ่งต้องย้ายทะเบียบบ้านมาในมหาวิทยาลัย รวมไปถึงไม่มีระบบการเลือกตั้งล่วงหน้า จึงต้องเรียกร้อง กกต.ให้แก้กฎหมายท้องถิ่น
นายปริญญา ยังมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถการันตีได้ว่าเอาชนะพรรคอันดับหนึ่งได้ เนื่องจากพรรคก้าวไกล ไม่ได้ส่งผู้สมัคร นายก อบจ. ลงเลือกตั้งครั้งนี้ แต่อย่างน้อยก็เป็นการกลับมาของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานี เพื่อหวังชนะพรรคก้าวไกลในครั้งหน้า อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ กกต.จะประกาศรับรองนายชาญ เมื่อใด และจะปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่นั้น สำคัญกว่า
นอกจากนี้ การจะประกาศให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ยังเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นเรื่องของอีกพรรคหนึ่งคือพรรคภูมิใจไทยด้วย นายปริญญา ระบุว่า ต้องเข้าใจว่านายชาญ มีคุณสมบัติครบถ้วนในการสมัคร ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็พูดถูก ไม่ได้ขาดคุณสมบัติแม้แต่ข้อเดียว เนื่องจากศาลยังไม่ได้พิพากษา แต่การชนะการเลือกตั้งแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาตอบข้อหารือของกระทรวงมหาดไทย มาตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2565 เพราะเคยเกิดเหตุการเช่นนี้ในสามพื้นที่ ซึ่งกฤษฎีกาตอบมาว่ามีผลมายังการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะขัดต่อเจตนารมย์ของกฎหมาย เพื่อไม่ให้ยุ่งเหยิงต่อพยานหลักฐาน แต่ตนตั้งคำถามว่า ตอนสมัคร กกต.ได้แจ้งนายชาญ หรือไม่ เนื่องจากมีแนวทางในลักษณะดังกล่าว รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยทราบหรือไม่ หากทราบแล้วยังทำถือว่าพลาด และหากไม่ทราบก็ถือว่าพลาดเช่นกัน จึงเชื่อว่าเรื่องนี้พรรคภูมิใจไทยคงไม่ทำให้ตัวเองเสี่ยงในเรื่องที่กฤษฎีกามีคำวินิจฉัยในลักษณะนี้ และเรื่องนี้หากจะจบคงไปจบที่ศาลเพราะมาตรา 81 ของ พ.ร.บ. ป.ป.ช. เมื่อศาลรับคำร้องแล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ศาลสามารถมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ ซึ่งนายชาญ หรือพรรคเพื่อไทย สามารถไปร้องศาลได้ว่าขอให้คำสั่งเป็นอย่างอื่น.-319.-สำนักข่าวไทย