กทม. 8 เม.ย.-โฆษกรัฐบาล เผยเครื่องบินของเมียนมาที่ลงสนามบินแม่สอด มีแต่พลเรือน ให้รอ กต. รวบรวมข้อมูลชี้แจง ยันหลักการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อพลเรือน ไม่มีแบ่งข้าง ขณะที่นายกฯ เตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอัปเดตสถานการณ์ในวันพรุ่งนี้ (9 เม.ย.)
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก หลังเมื่อคืนที่ผ่านมา เครื่องบินทหารเมียนมา ลงจอดที่ท่าอากาศยานแม่สอด ว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศกำลังรวบรวมข้อมูลซึ่งน่าจะมีการแถลงข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจน และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เบื้องต้นจากการที่สอบถามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ เครื่องบินที่บินมาที่แม่สอดเป็นเครื่องบินของพลเรือน และไม่มีทหารเข้ามา
“เป็นพลเรือนที่ขนของสิ่งของเข้ามา อย่างไรก็ตามโดยทิศทางของรัฐบาลแล้ว รัฐบาลอยากให้ทุกฝ่ายได้คุยกันให้ครบถ้วนและให้ข้อมูลข่าวสารครั้งเดียวที่ตรงกัน ซึ่งตามปกติพลเรือนของเมียนมาก็เข้ามาได้อยู่แล้วตามปกติ เข้ามาเป็นระยะ เราไม่เคยห้ามพลเรือนเข้า สามารถเข้าออกได้ตามปกติ แต่เมื่อสถานการณ์ในช่วงนี้มีการสู้รบ และข่าวออกมาว่ารัฐบาลทหารของพม่าเพลี่ยงพล้ำ คนก็จินตนาการกันไป ว่ามีการแตกหักและเคลื่อนย้ายเข้ามาเมืองไทย อันนั้นไม่จริง และชายแดนวันนี้ก็เปิดค้าขายกันตามปกติ” นายชัย กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากสถานการณ์ในเมียนมารุนแรงขึ้น แน่นอนที่เราเห็นภาพก็คือจะต้องมีคนอพยพข้ามพรมแดนเข้ามา เนื่องจากพรมแดนของไทยกับเมียนมาติดต่อกัน ผลการสู้รบไม่ว่าฝั่งไหนจะชนะหรือแพ้ ก็จะต้องมีผลกระทบกับพลเรือน เพราะฉะนั้นรัฐบาลได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว เพราะไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิด
“แต่หลักการของเราก็คือ ไม่ว่าใครจะรบกับใคร ไม่ว่าใครจะขัดแย้งแบ่งฝ่ายกับใคร แต่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อพลเรือน ไม่มีการแบ่งข้าง ไม่มีการเลือกข้าง เพราะฉะนั้นบนหลักการอันนี้ ไม่ว่าพลเรือนฝั่งไหนเดือดร้อนมา ถ้าจำเป็นเราก็ต้องดูแลช่วยเหลือ” นายชัย กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (9 เม.ย.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเชิญกระทรวงการต่างประเทศและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาประชุม เพื่ออัปเดตสถานการณ์ เพื่อให้จากนี้ไปข่าวสารที่ออกจากรัฐบาลต้องมีความเป็นเอกภาพ เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างทำงานก็จะมีข้อมูลที่หลากหลาย.-315-สำนักข่าวไทย