กรุงเทพฯ 20 ก.ย. –“กัญจนา” นำคณะทปษ.รมว.พม.รุดเยี่ยมเหยื่อคดีพ่อแม่ฆ่าโบกปูนลูก วอนสังคมช่วยกันเป็นหูเป็นตา ชี้เบาะแสความรุนแรงในครอบครัว ให้เด็กรอดพ้นถูกทำร้าย ไม่เป็นสมบัติที่ชำรุดของสังคม เป็นลูกโซ่ทารุณคนอื่นต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมพ่อฆ่าลูก 2 ขวบโบกปูน โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ช่วยเหลือนำตัวเด็กหญิง 2 พี่น้อง วัย 12 ขวบ และ 4 ขวบ ที่ถูกพ่อแม่ทำร้าย โดยคนพี่ถูกทุบตีมีบาดแผลหลายแห่ง ขณะที่คนน้องถูกจับแช่น้ำ และยังถูกจับขังไว้ในห้องพักบนอพาร์ทเม้นท์ ซอยพหลโยธิน 48 แยก11 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ที่ปรึกษาคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดขับเคลื่อนนโยบายรมว.พม. พร้อมด้วยนายนิกร จำนง ประธานคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดขับเคลื่อนนโยบายรมว.พม. เข้าเยี่ยมเด็กทั้ง 2 คนที่บ้านพักเด็กและเยาวชนกรุงเทพฯ แยกตึกชัย กทม. และที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมีนายธนสุนทร สว่างสาลี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนางเตือนใจ คงสมบัติ รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ร่วมคณะติดตามการช่วยเหลือคุ้มครองเด็ก
น.ส.กัญจนา กล่าวว่า ขั้นตอนของการช่วยเหลือเด็กของพม. หลังจากที่นำน้องทั้ง 2 คนออกมาจากจุดที่เป็นอันตราย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครทำร้ายน้องได้อีก ให้มาอยู่ในความดูแลของพม. จากนี้จะรักษาบาดแผล และแม้ว่าน้องคนโตจะไม่มีบาดแผลให้เห็นในปัจจุบัน แต่มีร่องรอย ส่วนน้องคนเล็กยังอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาล ขั้นตอนต่อไปคือการฟื้นฟูจิตใจ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร จากนั้นจะวางแผนอนาคตของน้อง โดยมีรูปแบบญาติอุปถัมภ์ว่ามีครอบครัวไหนมีความพร้อมสามารถรับน้องไปดูแล แต่หากไม่มีญาติอุปถัมภ์ต้องหาครอบครัวอุปถัมภ์ที่พอจะรับน้องได้ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากขั้นตอนของการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจนั้นกินเวลานานพอสมควร แล้วจึงมาดูขั้นตอนต่อไปกันว่าจะมีญาติอุปถัมภ์หรือครอบครัวอุปถัมภ์แต่ถ้าไม่มีเลย สุดท้ายจริง ๆ ซึ่งเราไม่อยากให้เกิด คือน้องต้องไปอยู่บ้านสงเคราะห์ ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทางกรมไม่อยากทำมากที่สุด
“เรื่องความรุนแรงในครอบครัว ขอเรียนคนไทยทุกคนว่ากรุณาอย่ามองว่าเป็นเรื่องของครอบครัวใคร ครอบครัวมัน เพราะเราอยู่ในสังคมเดียวกัน โดยเฉพาะถ้าผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นผู้ที่มีเสียงน้อย เป็นผู้ที่อ่อนแอ เสียงเขาจะไม่มีพลัง ไม่ดัง แต่เพื่อนบ้านใกล้เคียงจะเป็นผู้ที่รู้และสามารถสังเกตเห็นได้ ช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้กับพวกเขาด้วย กรุณาถือว่าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ถ้าไม่ช่วยเหลือกันเขาซึ่งเป็นผู้อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ก็จะเกิดเหตุที่น่าสงสาร จึงอยากให้ทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตา เพราะหากเด็กเหล่านี้รอดพ้นจากการถูกทำร้าย โตขึ้นเขาก็จะเป็นสมบัติที่ชำรุดของสังคม แล้วจะเป็นลูกโซ่ของความทารุณ เขาก็จะไปทำทารุณ เพราะเขาเคยถูกกระทำมาก่อน จะเป็นมรดกที่ชั่วร้ายของสังคมไทย เราต้องตัดตอนสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเยียวยาเขาตั้งแต่ต้น กระทรวงพม.มีสายด่วน 1300 ซึ่งตั้งแต่นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพม. เข้ามาก็จะทำให้สายด่วน 1300 เป็นพลังที่พึ่งของสังคมได้ นอกจากนี้ยังมีกรมฯ ได้มีแอพพลิเคชั่นไลน์ ชื่อ “Ess Help Me” หรือระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม ESS ที่ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส ได้อีกช่องทางหนึ่ง” น.ส.กัญจนา กล่าว
น.ส.กัญจนา กล่าวว่า เวลาเราเห็นข่าวความรุนแรงในครอบครัวมักจะเห็นว่าเป็นภาคเอกชนที่มาเป็นตัวเชื่อมมาโดยตลอด แต่ทำไมภาครัฐจึงไม่เป็นหน่วยงานแรกที่เข้าช่วยเหลือ ซึ่งทางรองอธิบดีอธิบายว่า ภาครัฐทำงานกันมากกว่า 80% เพียงแต่เมื่อเราทำงานซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจึงไม่ค่อยเป็นข่าว ขอย้ำว่าไม่ใช่ว่าหน่วยงานไม่ใช่เป็นผู้รับเรื่องตั้งแต่ต้น เราทำแต่ไม่เป็นข่าว แต่อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องดีที่ภาคเอกชน ประชาชน ทำงานร่วมกับภาครัฐ เราร่วมด้วยช่วยกัน
ด้านนายนิกร กล่าวว่า นายวราวุธได้มอบนโยบายกระทรวงพม. แล้วว่าจะมีการปรับแก้กฎหมายเรื่องความรุนแรง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นต้องเขียนกฎหมายให้ดีเพื่อที่จะดูแลได้ ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในนโยบายของกระทรวงแล้ว.-สำนักข่าวไทย