กรุงเทพฯ 9 ก.ค. – คณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ ลงพื้นที่ จ.ชัยนาท ติดตามแนวโน้มสถานการณ์ “เอลนีโญ” ร่วมหารือราชการ-ประชาชน ปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำ ชงข้อเสนอทั้งระยะสั้น-ระยะยาว แก้ทั้งน้ำแล้ง-น้ำท่วมถาวร
วันที่ 9 กรกฎาคม 2566 ที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามโนรมย์ จ.ชัยนาท คณะทำงาน 8 พรรคร่วมรัฐบาลด้านภัยแล้งและเอลนีโญ ร่วมประชุมหารือกับหน่วยราชการและตัวแทนประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำ พร้อมสำรวจระบบการบริหารจัดการน้ำ ในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามโนรมย์ ทั้งที่โรงสูบน้ำคลอง 2 ขวา คลองระบายน้ำหลากฝั่งตะวันออก ชัยนาท-ป่าสัก และอ่างเก็บน้ำห้วยหนองโรง เพื่อร่วมกำหนดแนวทางของคณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ เตรียมการรับมือกับสถานการณ์เอลนีโญต่อไป
นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายฯ พรรคก้าวไกล หนึ่งในคณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ ระบุว่า สถานการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน จะเห็นชัดว่ามีปริมาณฝนน้อยกว่าปกติกว่า 20% เฉพาะในเขตพื้นที่ภาคกลางจะมีฝนน้อยกว่าปกติประมาณ 50% ที่ จ.ชัยนาท มีเกษตรกรบางส่วนที่ยังไม่สามารถเริ่มทำนาปีได้ แม้จะมีเกษตรกรในเขตชลประทานที่ทำนาปีได้แล้ว แต่ก็มีความจำเป็นต้องส่งน้ำเข้ามาช่วย ดังนั้น สถานการณ์เอลนีโญปีนี้จึงคาดการณ์ได้ว่าจะหนักหน่วง และส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงหน้าแล้งปีถัดไปด้วย
ทั้งนี้ จากการศึกษาและหารือร่วมกับหน่วยงานราชการและประชาชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ คณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ มีข้อเสนอเบื้องต้น ทั้งที่เป็นมาตรการเร่งด่วนและมาตรการในระยะยาว โดยเฉพาะในระยะเร่งด่วน ต้องมีการจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวางแผนการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำใช้การได้ที่ลดน้อยลงเหลืออยู่เพียงกว่า 20% หากบริหารจัดการไม่ดี ปลายฤดูฝนต้นฤดูแล้งปีหน้าอาจจะเหลือปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ฤดูแล้งปี 2567 มีปัญหามากขึ้น
นายเดชรัต กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก หากวางแผนได้ดี การบริหารจัดการน้ำจะมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นที่คลอง 2 ขวา ที่คณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ ได้ลงมาสำรวจในวันนี้ ซึ่งสามารถลดปริมาณการใช้น้ำลงไปได้ครึ่งหนึ่ง และยังลดปริมาณค่าไฟในการสูบน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมัน คิดเป็นค่าใช้จ่ายลงไปได้ถึง 90%
“ในฐานะผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาล จะต้องมีการวางแผนว่าจะสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ไม่สามารถทำนาในช่วงฤดูแล้ง หรือเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ทำอาชีพอื่นในช่วงฤดูแล้งได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่คณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ กำลังหารือกันอยู่ โดยจะมีการประชุมสรุปในวันพรุ่งนี้” นายเดชรัต กล่าว

ทั้งนี้ คณะทำงาน 8 พรรคร่วมฯ มีข้อเสนอต่อมาตรการในการรับมือสถานการณ์เอลนีโญ ในระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย 1) ติดตามการพยากรณ์อากาศในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะค่าดัชนีความแห้งแล้ง และปริมาณน้ำฝนในช่วง 3 เดือนข้างหน้า อย่างใกล้ชิด 2) วางแผน/บริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและสถานการณ์น้ำ เพื่อให้มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพียงพอไปจนถึงฤดูแล้งปี 2568
3) ให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนสําหรับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งและมีความขาดแคลนน้ำ ทั้งในการขุดบ่อบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร, การเพิ่มสระเก็บน้ำในไร่นาเกษตรกร และในท้องถิ่น, การจัดและหาปรับปรุงแหล่งน้ำสํารองสําหรับการทําประปา และการสํารองน้ำใช้อุปโภคบริโภคสําหรับชุมชนและสถานที่สาธารณะ ในพื้นที่ที่อาจประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสํารอง 4) เตรียมแผนการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ และ 5) พัฒนาประสิทธิภาพการใช้น้ำ เพื่อให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า ลดการสูญเสียน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำของระบบชลประทาน และการลงทุนเพื่อการประหยัดและเพิ่มประสิทธิภาพการให้น้ำในไร่นาของเกษตรกร
ส่วนแนวทางการจัดการน้ำในระยะยาว ประกอบด้วย 1) ปรับปรุงโครงสร้างการจัดการน้ำให้เป็นระบบบูรณาการที่มีข้อมูลเชื่อมโยงและการสั่งการในทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำภาคประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม 2) การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและระบบบัญชาการเหตุการณ์ในช่วงสถานการณ์วิกฤติ ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม 3) การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในการสร้างและพัฒนาระบบกักเก็บน้ำขนาดเล็ก และการจัดหาแหล่งน้ำขนาดเล็ก และควรสนับสนุนบทบาทและงบประมาณสําหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
4) การส่งเสริมระบบการเกษตรที่ใช้น้ำน้อย และมีความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ 5) การพัฒนาให้ทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงระบบประปาที่มีคุณภาพ และพัฒนาเป็นน้ำประปาดื่มได้ รวมการลดการสูญเสียน้ำในระบบประปาลงให้ได้ 6) การเตรียมการจัดการ และวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ ความต้องการการใช้น้ำ และเทคโนโลยีเพื่อการหมุนเวียนน้ำ ในพื้นที่ที่มีความต้องการน้ำสูง 7) การฟื้นฟูระบบนิเวศในลุ่มน้ำต่างๆ ให้สมบูรณ์ขึ้น
8) การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการน้ำในทุกกระบวนการและทุกระดับ 9) การศึกษาแนวทางเลือกในการป้องกัน และรับมือการรุกล้ำของน้ำเค็ม 10) การยกระดับขีดความสามารถในการจัดการน้ำเสียตั้งแต่แหล่งกําเนิด และ 11) การทํางานเชิงรุกในกลไกการจัดการน้ำระหว่างประเทศ ทั้งในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มแม่น้ำสาละวิน เพื่อรักษาระบบนิเวศในลำน้ำ และมิให้เกิดผลกระทบทางลบกับพี่น้องประชาชนในลุ่มน้ำนั้นๆ. – สำนักข่าวไทย