กรุงเทพฯ 18 มิ.ย. – “วิโรจน์” ซัดปม “ผู้การฯ ชลบุรี” เรียกรับสินบน 140 ล้านบาท ไม่ต่างจากอั้งยี่ ซ่องโจร จี้ขยายผลมีตัวใหญ่เบื้องหลังหรือไม่ มองต้นเหตุเกิดจากระบบตั๋ว เข้าสู่ตำแหน่งแบบมีต้นทุน ต้องกลับมากอบโกย หากจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล เตรียมรื้อกฎหมายปราบคอร์รัปชันให้สิ้นซาก
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เรียกรับเงิน 140 ล้านบาท ว่า เป็นเรื่องที่จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่อ ซึ่งทราบว่า ขณะนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว แต่เรื่องนี้ปล่อยให้เงียบไม่ได้ เนื่องจากเงินที่เรียกรับจำนวนสูงถึง 140 ล้านบาท ซึ่งต้องสอบสวนให้ชัดว่า มีการเรียกรับจริงหรือไม่ และถ้าจริงต้องถามว่า “เป้รักผู้การฯ มากี่ครั้งแล้ว” และ “มีคนอื่นที่รักผู้การฯ ด้วยหรือไม่” รวมทั้ง “ผู้การฯ คือรักสุดท้ายของเป้หรือไม่” หรือ “ผู้การฯ ไปรักคนอื่นต่อหรือเปล่า”
นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ไม่นานมานี้ก็พบตำรวจในระดับบังคับบัญชา มีภาพปรากฏหิ้วกระเช้าไปอวยพร แสดงความยินดี จึงต้องขยายผลต่อไปว่า “เป้รักผู้การฯ แล้วผู้การฯ ไปรักใครต่อหรือไม่” ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าหนักมาก เข้าข่ายผิดกฎหมายการเรียกรับสินบน มาตรา 143 และมาตรา 149 รวมทั้งมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต
นายวิโรจน์ ยังระบุว่า กรณีที่เกิดขึ้น สาเหตุมาจากระบบตั๋ว ระบบวิ่งเต้น เพราะตำรวจในระดับผู้การบางคน เข้ามาด้วยระบบซื้อขายตำแหน่ง ก็มีต้นทุน ซึ่งเมื่อเข้ามารับตำแหน่ง แทนที่จะมาเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข วางแผนปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ แต่กลับมาซ่องสุม ไม่ต่างจากอั้งยี่ ซ่องโจร สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน จึงเสนอให้มีการสอบสวนขยายผลว่า พัวพันกับมาเฟียในท้องถิ่น และมาเฟียกลุ่มจีนสีเทา รวมทั้งมาเฟียต่างชาติหรือไม่ เนื่องจากเว็บพนัน การค้ามนุษย์ และยาเสพติด พัวพันกับขบวนการมาเฟียต่างชาติ
เมื่อถามว่า กรณีผู้การฯ ชลบุรี เรียกรับสินบน 140 ล้านบาท จะมีผู้ที่อยู่ระดับสูงกว่าผู้การฯ พัวพันหรือไม่ นายวิโรจน์ ตอบว่า ผู้ที่อยู่สูงกว่านั้นมักจะอยู่หลังม่าน อยู่หลังโทรศัพท์ ไม่ออกมาเปิดเผยตัวเอง ซึ่งคนที่ออกมาเปิดเผยตัวส่วนใหญ่จะเป็นลูกน้อง ตัวเล็กเท่านั้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตัวใหญ่จะเป็นผู้เขียนกระดาษ “เป้รักผู้การฯ เท่าไหร่” แต่ก็ย้ำว่า ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายก่อน ทั้งนี้ หากพบว่าเป็นจริง ต้องสอบสวนต่อว่า พัวพันกับใคร ที่มาของตำแหน่งเป็นอย่างไร มีการซื้อขายตำแหน่งหรือไม่ ถ้าหากซื้อขายตำแหน่งมา ผู้ใดเป็นคนให้เงินไปซื้อ แหล่งเงินที่ซื้อตำแหน่ง ก็จะบอกได้ว่า ใครเป็นตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง
และแม้ที่ผ่านมาจะมีการจับกุมตำรวจที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวหลายครั้ง แต่ไม่เคยสาวไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลย ควรจะปรับวิธีการสอบสวนขยายผลหรือไม่ นายวิโรจน์ ระบุว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลมีรากฐานจากเผด็จการ ซึ่งการแต่งตั้งมักจะเฉพาะคนของตัวเอง เป็นเครือข่ายของตัวเอง เพราะกลัวการถูกเช็กบิลย้อนหลัง เพราะฉะนั้น การตรวจสอบถ่วงดุลก็มักจะติดกับคำว่า คนนี้เพื่อนนาย คนของนาย หรือเครือข่ายของนาย ส่งผลต่อกลไกการปราบปรามทุจริตทำไม่ได้ และได้แต่จับปลาซิวปลาสร้อย
นายวิโรจน์ ยังระบุว่า ปัญหาการคอร์รัปชัน แตะที่ไหนก็เจอที่นั่น พร้อมทั้งเปรียบเปรยว่า เหมือนอุจจาระเต็มกางเกงไปหมด ตอนนี้ไม่ต้องส่องเข้าไปในกางเกง ก็เห็นคราบสีเหลืองที่ย้อยออกมา เพราะมาจากระบบอุปถัมภ์ การซื้อขายตำแหน่ง และเครือข่ายอำนาจที่สร้างเอาไว้ ก็ต้องทำลายให้หมด
ทั้งนี้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ การจัดการปัญหาคอร์รัปชันจะเริ่มจากจุดไหน นายวิโรจน์ บอกว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 มิ.ย.66) จะมีการประชุมคณะทำงานของคณะเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ก็จะพูดถึงแนวทางการจัดการปัญหาคอร์รัปชันของรัฐบาลนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลด้วย ซึ่งจะต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ ทั้งการแก้ไขกฎหมาย และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้ออกมาเปิดโปงทุจริต และการกันเป็นพยาน เพื่อทลายการคอร์รัปชัน. – สำนักข่าวไทย