กกต. วันนี้ ( 2 มิ.ย.) “เอกชัย” จี้ กกต.เร่งประกาศรับรอง ส.ส. ตั้งรัฐบาลใหม่ แทน “พล.อ.ประยุทธ์” หยุดถ่วงสอบ “พิธาถือหุ้นสื่อฯ” เทียบเคียง “คดีชาญชัย” ปัดตกได้เลย เตือนระวังด้อม 14 ล้านเสียงลงลงถนนหากพิจารณาไม่เป็นธรรม
นายเอกชัย หงกังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ยื่นหนังสือขอให้ กกต.เร่งพิจารณาและประกาศรับรังรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.โดยเร็ว เนื่องจากผ่านการเลือกตั้งมาเกือบ 1 เดือน แต่ก็ยังไม่มีการรับรอง ส.ส. หากเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดให้ กกต.รับผลภายใน 30 วัน มีการแจกใบเหลือง ใบแดง สั่งเลือกตั้งใหม่ แต่ กกต.อ้างว่าระยะเวลา 30 วัน ไม่สามารถพิจารณาเรื่องร้องเรียนและรับรองผลการเลือกตั้งได้ทัน จึงแก้เป็นภายใน 60 วัน เมื่อเป็นรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยังไม่มีการแจกใบเหลืองใบแดงเลยนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 โดยรอให้เกือบครบ 60 วันแล้วประกาศรับรอง แจกใบแดงแค่ใบเดียวกรณีเลือกตั้งเชียงใหม่ และเลือกตั้งครั้งนี้มีแค่เรื่องร้องเรียนที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ออกมาร้อง เมื่อ กกต.เห็นว่าไม่ปัญหาก็ควรเร่งรับรองโดยเร็ว เพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่มาแทนที่รัฐบาลรักษาการพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตนเห็นว่าไม่สมควรจะอยู่ทำหน้าที่ต่อแล้ว ควรจะรับผิดชอบด้วยการลาออกกรณีที่พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. 2566 ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตก ทั้งนี้หากเขตไหนไม่มีปัญหาก็ควรรับรองไปก่อน เชื่อว่ามากกว่าครึ่งไม่มีปัญหาเรื่องร้องเรียน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าใครจะได้เป็น ส.ส. และทำให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้เร็วขึ้นไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 60 วัน หากไม่มีกรณีต้องแจกใบเหลืองใบแดง
เมื่อถามว่ากรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถูกร้องเรียนเรื่องการถือหุ้นสื่อนั้น กกต.ควรจะเร่งตรวจสอบเพื่อให้นายพิธาได้เร่งเคลียร์ตัวเองด้วยหรือไม่ นายเอกชัย กล่าวว่า กรณีของนายพิธานั้น ก็เคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งที่พิพากษากรณีนายชาญชัย อิสรเสนารักษ์ ที่ถือหุ้นบริษัท AIS 200 กว่าหุ้นไม่เป็นลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น จึงมองว่ากรณีของนายพิธาถือหุ้น 42,000 หุ้น จากหุ้นไอทีวีมีมากกว่า 1.2 พันล้านหุ้น ตนเห็นว่าน้อยมาก ถือหุ้นแค่นี้ แม้แต่ไอในห้องประชุมยังทำไม่ได้ โดย กกต.สามารถหยิบยกคำพิพากษาศาลฎีกากรณีนายชาญชัย มาพิจารณาและตีตกคำร้องการถือหุ้นของนายพิธาได้เลย ไม่จำเป็นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสถานะของนายพิธาก็ไม่แตกต่างกับสถานะของนายชาญชัย ที่เป็นเพียงผู้สมัคร ยังไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น กกต.จึงพิจารณาได้เลยโดยไม่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นนักเคลื่อนไหว หากผลของคดีนี้เป็นไปในทางลบ จะส่งผลให้คนสนับสนุนออกมาเคลื่อนไหวลงถนนหรือไม่ นายเอกชัย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ สมมติหาก กกต.รับรอง ส.ส. และส่งเรื่องนายพิธา ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ หากก่อนการโหวตนายกฯ แล้วศาลยังไม่ได้พิจารณา นายพิธาก็มีสิทธิได้รับการโหวต แต่จะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากนายพิธาโดนศาลรัฐธรรมนูญแขวน ก่อนการโหวตนายกฯ เช่นเดียวกับกรณีพล.อ.ประยุทธ์ ที่สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ กรณีดำรงตำแหน่ง 8 ปี จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้นายพิธาเสียสิทธิแคนดิเดตนายกฯ และต้องไปโหวตคนอื่น ซึ่งตนมองว่าไม่เป็นผลดี หากศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิด แล้วไปแขวนเขาทำให้ไม่มีสิทธิได้โหวตเป็นนายกฯ ตนจึงมองว่า กกต.ควรเร่งวินิจฉัยตีตกเลย
ส่วนกรณีที่นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบรท์ นนทบุรี อดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองระบุว่า ให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการตัดสินกรณีการถือหุ้นของนายพิธาโดยไม่ลงถนน เพราะที่ผ่านมาประเทศเสียหายเยอะแล้ว นายเอกชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ตนมองว่า ใครจะลงหรือไม่ลงถนน ตามรัฐธรรมนูญก็กำหนดแล้วว่าเป็นสิทธิของประชาชนที่จะแสดงความคิดเห็น ซึ่งการที่ประชาชนจะลงถนนก็มีเหตุผลอยู่แล้ว และการที่จะลงหรือไม่ลงก็ขึ้นอยู่กับ กกต.ว่าทำงานสุจริต เที่ยงธรรมหรือไม่ ทั้งการรับรอง ส.ส. ล่าช้า การวินิจฉัยการถือหุ้นสื่อของนายพิธา หากวินิจฉัยได้ดี และถูกต้องก็คงจะไม่มีใครลงถนน แต่หาก กกต.พิจารณาล่าช้าหรือกรณีนายพิธาที่ดูแล้วไม่ค่อยเป็นธรรม ก็จะทำให้ประชาชนที่เลือกนายพิธามา 14 ล้านเสียงอาจจะไม่พอใจได้ ก็เป็นสิทธิที่เขาจะเคลื่อนไหวอย่างไร
เมื่อถามย้ำว่า กรณีนี้ไม่ถือว่าใช้ 14 ล้านเสียงมากดดันให้ กกต.ต้องพิจารณาให้ถูกใจมวลชนหรือไม่ นายเอกชัย กล่าวว่า ก็ต้องพิจารณาตามกฎหมาย ขณะนี้ยังไม่ได้มีการรับรอง ส.ส. ดังนั้น นายพิธาจึงยังมีสถานะเป็นผู้สมัคร ซึ่ง กกต.สามารถพิจารณาได้เลย ไม่จำเป็นต้องทำให้ยืดเยื้อ “ขอฝาก กกต.ชุดนี้ ถูกครหาว่ามีที่มามาจาก คสช. เลยทำให้หลายคนเกิดความระแวง ตั้งแต่การเลือกตั้ง ก็เหมือนเอื้อ หรือเข้าข้างไปทางฝ่ายที่ตั้งเขามา ดังนั้น กกต.ก็อย่าทำตัวไปตามที่คนเขาสงสัย อย่างกรณีนี้ คะแนนเสียงออกมาก็โอเค เท่าที่ดู กองเชียร์ทั้งหลายก็พอใจ แต่ที่กำลังจับตา คือกรณีนายพิธาจะถูกสอยเรื่องหุ้น แล้วอย่างที่นายวิษณุ เครืองาม ออกมาบอกว่าการโดนสอยเรื่องหุ้นนั้น อาจจะทำให้ ส.ส. อีก 150 กว่าคนกระเด็นไปด้วย อันนี้คนกำลังจับตาอยู่ว่า กกต.จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร อย่าไปฟังคนที่กำลังจะไปแล้ว แต่ให้พิจารณาตามสิ่งที่ควรทำตามหน้าที่ของคุณ” นายเอกชัย กล่าว .- สำนักข่าวไทย