พรรคประชาธิปัตย์ 24 เม.ย.-ทีมเศรษฐกิจ ปชป.ชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เสนอธนาคารชุมชน-หมู่บ้าน ย้ำ มีระบบตรวจสอบโปร่งใส ไม่เหมือนกองทุนหมู่บ้าน
ทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต นายพิสิฐ ลี้อาธรรม นายเกียรติ สิทธีอมร และนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ร่วมแถลงข่าว “ปชป.ชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ” โดย ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยว่า นโยบายพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ ยังไม่แจกเงินสุดโต่งด้วยยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ วงเงิน 1 ล้านล้านบาท อัตราเติบโต GDP ไม่น้อยกว่า 5% โดยต้องปรับโครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน บริหารระบบจัดเก็บภาษี กระจายรายได้สู่ฐานราก ลดการเหลื่อมล้ำทางสังคม
“ที่ผ่านมาหลายพรรคการเมืองมุ่งเน้นการใส่เงินเข้าไปในระบบ ทั้งที่ต้องสร้างกลไกที่รัดกุมในการหาแหล่งเงินทุน สิ่งที่ต้องทำทันที คือเชื่อมความเหลื่อมล้ำในสังคม เคยทั้งกลุ่มผู้มีรายได้สูง ผู้มีรายได้ปานกลางและฐานราก ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์อยากให้ผู้ที่มีรายได้สูงหรือรายได้ปานกลาง มีพลังมากขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งเงินภาษีที่ได้จากผู้มีรายได้สูงและรายได้ปานกลางจะกลายเป็นเม็ดเงินที่ใช้ในการดูแลฐานราก ด้วยวิธีการให้บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมที่ต้องการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อให้บริษัทดังกล่าวเติบโตและพร้อมจ่ายภาษี” ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าว
ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวว่า จะยกระดับฐานรากสู่ชุมชนเข้มแข็ง ที่มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกร แรงงาน หาบเร่แผงลอยและรับจ้างอิสระ ด้วยการสนับสนุนให้มีนักธุรกิจเกษตร แก้ปัญหา SME แก้หนี้เกษตรกร สนับสนุนวงเงินจากธนาคารรัฐ สนับสนุนให้มีธนาคารชุมชนและหมู่บ้าน ชุมชนละ 2 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนและหมู่บ้านมีแหล่งเงินทุนกู้เงินได้ไม่เกิน 50,000 บาทนำไปประกอบอาชีพ โดยไม่ต้องมีหลักประกัน จะกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกับการหาเงินจากการปรับปรุงโครงสร้างตลาดเงินและตลาดทุน และเชื่อว่า จะสามารถหาเงินเอง ใช้เองได้ โดยใช้เม็ดเงินที่มีอยู่ในระบบ ลงทุนในอนาคตเพื่อชาติและประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะมีความสามารถเสียภาษีในอนาคต
ด้านนายพิสิฐ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอเพิ่มอายุการเกษียณทั้งภาครัฐและเอกชนไปอีก 5 ปี แต่ต้องให้มีการตรวจสุขภาพเพราะต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และทำงานตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาหรือไกด์ นอกจากนี้ ปรับแก้ระบบประกันสังคมให้ยืดหยุ่นขึ้น แก้โครงสร้างให้เป็นระบบคล้ายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผู้ประกันตนสามารถเลือกบำเหน็จหรือบำนาญ สนับสนุนให้ไรเดอร์เข้าระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ได้ พร้อมแก้มาตรา 39 ให้ยืดหยุ่น ไม่เสียสิทธิ์ที่ได้จากมาตรา 33
เมื่อถามว่า ธนาคารชุมชนและหมู่บ้าน ชุมชนละ 2 ล้านบาท จะเกิดปัญหาเหมือนกองทุนหมู่บ้าน ที่เกิดความไม่โปร่งใสจนกลายเป็นหนี้เสียหรือไม่ นายพิสิฐ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้มีธนาคารชุมชนและหมู่บ้านเพื่อให้ชุมชนและหมู่บ้านตัดสินใจเองได้ แต่จะอยู่ในระบบการควบคุมตรวจสอบ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารออมสินในชุมชนไปดูแลให้ตาม พ.ร.บ.สถาบันการเงิน จึงเชื่อว่า จะไม่เกิดปัญหาเหมือนโครงการในอดีต.-สำนักข่าวไทย