ศาลรัฐธรรมนูญ 17 มี.ค.-“ก้าวไกล-ประชาชาติ” ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเอาผิด “ศักดิ์สยาม” ผิดซ้ำ ม.144 ถือหุ้น พร้อมได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณ หวังเป็นบรรทัดฐานรัฐมนตรีทำผิดต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเคยยื่นต่อประธานสภาผู้แทยราษฎรมาแล้ว ในคำร้องมาตรา 170 และมาตรา 82 และมีผลให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีการคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้น และเจ้าของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น วันนี้(17 มี.ค.) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 สืบเนื่องจากกรณีนายศักดิ์สยาม ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คำร้องมาตรา 144 นี้ เป็นคำร้องที่ที่ฝ่ายค้านยื่นต่อประธานสภาฯ ตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว 3 มาตรา แต่ครั้งนั้นฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ตีความว่าความผิดตามมาตรา 144 ไม่อยู่อำนาจประธานสภาฯ ที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ เราจึงแยกให้เป็นคำร้อง 2 ฉบับ และวันนี้ที่มายื่นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของคำร้องแรก โดยมาตรา 144 นั้นเป็นเรื่องที่ส.ส., ส.ว.,และกรรมาธิการห้ามกกระทำการใด ๆ ที่ทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์จากงบประมาณโดยตรงหรือโดยอ้อม เมื่อผนวกกับความเป็นเจ้าของธุรกิจและรับสัมปทานของกระทรวงคมนาคม ดังนั้น ไม่ต้องตีความอะไรมากมาย เพราะเป็นการได้รับผลประโยชน์ทางตรงจากงบประมาณที่ตัวเองดูแล และจะเป็นเหตุผลให้ศาลเห็นว่าการที่นายศักดิ์สยามยังถือหุ้นของบริษัทอยู่จะมีผลปะโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะบริษัทนี้ก็รับสัมปทานจากกระทรวงคมนาคม
ส่วนประเด็นที่ยื่นนี้ตรงกับที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์เตรียมยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย จะมีน้ำหนักมากพอให้ศาลพิจารณาทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ เชื่อว่าทั้งศาลและองค์กรอิสระจะพิจารณาไปตามหลักฐานคำร้องที่ยื่นไป แต่ด้านของนายชูวิทย์ถือเป็นทิศทางที่ดีที่ภาคประชาชนกระตุ้นให้องค์กรอิสระทำงานอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องที่เราร้องก่อนหน้านี้ นายศักดิ์สยามถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว ส่วนคำร้องวันนี้เป็นเรื่องต่อเนื่องกัน สิ่งที่อยากจะฝากว่าคำร้องก่อนหน้านี้จะมีผลสืบเนื่องคือในรัฐธรรมนูญระบุว่าคุณสมบัติของรัฐมนตรีจะต้องไม่เคยถูกถอดถอนหรือวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติในเวลา 2 ปี
“หมายความว่าถ้าศาลวินิจฉัยว่านายศักดิ์สยามขาดคุณสมบัติ นายศักดิ์สยามจะเป็นรัฐมนตรีไม่ได้อีก 2 ปี เชื่อว่าศาลต้องมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยามจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ก็ตาม ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นบรรทัดฐานว่าลาออกจากตำแหน่งเพื่อหนีการตรวจสอบ และทำให้ตนเองไม่ขาดคุณสมบัติ ส่วนที่ว่านายชูวิทย์ไปยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย ในส่วนของเรามายื่นในส่วนของตัวรัฐมนตรีโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และยืนยันว่าพรรคก้าวไกลหรือแม้กระทั่งพรรคประชาชาติ ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองด้วยกฎหมายแบบนี้ การยุบพรรคการเมืองจะเกิดได้ด้วยวิธีเดียวคือให้ประชาชนไม่เลือกพรรคนั้น” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
ด้านพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ตามที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ บอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง คือไม่ต้องการให้ส.ส.,กรรมาธิการ,ผู้เสนองบประมาณหรือรัฐมนตรี รวมทั้งวุฒิสภากระทำอื่นใดแปรญัตติหรือกระทำการต่าง ๆ เพื่อให้ส.ส.หรือกรรมาธิการได้งบประมาณ ซึ่งกรณีที่นำมายื่นในวันนี้คือการพิจารณางบประมาณปี 2564 ซึ่งนายศักดิ์สยามเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณปี 2564
“ในการพิจารณา นายศักดิ์สยามโหวตรับงบประมาณ ในวาระ 1-3 ด้วย แต่สิ่งที่เราพบคือการเป็นส.ส.หรือกรรมาธิการของนายศักดิ์สยามนั้น มีบางส่วนที่ทำให้ได้ใช้งบประมาณที่พิจารณาในครั้งดังกล่าวกว่า 372 สัญญา โดยสัญญาหนึ่งคือ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นประมาณ 38 สัญญา เป็นเงิน 600 ล้านบาท และมีสัญญาอื่นกับกลุ่มบริษัทที่บริจาคเงินให้กับพรรคภูมิใจไทยรวม 300 สัญญา เป็นเงินทั้งหมดประมาณ 4,000 ล้านบาท” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า วันนี้เราเรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการพิจารณางบประมาณ และการเป็นกรรมาธิการ การเป็นผู้เสนองบประมาณ รวมทั้งการกระทำอื่นใดนั้น ขัดกับรัฐธรรมนูญปราบโกงหรือไม่ และ 2.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียกเงินในส่วนดังกล่าวคืน 4,000 กว่าล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
“ผมและนายปกรณ์วุฒิไม่ได้โกรธเคืองกับใคร แต่อยากสร้างบรรทัดฐานให้สังคมว่าคนที่มีตำแหน่งทุกตำแหน่งต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าบ้านเมืองขาดความรับผิดชอบในตำแหน่งตำแหน่งหนึ่ง จะทำให้เกิดการวิบัติได้ ดังนั้น ในหน้าที่ของส.ส. เราได้รวบรวมรายชื่อส.ส.1 ใน 10 ของส.ส.ในสภา โดยมาจากทุกพรรคฝ่ายค้าน ยื่นเรื่องในครั้งนี้ เราก็เคารพศาลรัฐธรรมนูญว่าจะพิจารณาอย่างไร เพราะเป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องแรกของรัฐธรรมนูญมาตรา 144” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่าวันนี้เป็นเรื่องบรรทัดฐานของสังคม และหากศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานหลักฐานจากหน่วยราชการอื่นจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน เช่นเรื่องเงินทำสัญญา เอาเงินใครเป็นแบงค์การันตี หรือการอ้างว่ามีการโอนเงินมีหลักฐานหรือไม่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อยู่ในอุ้งมือหน่วยงานรัฐทั้งหมด ดังนั้น ขอให้ศาลค้นหาความจริงในเรื่องเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าในปี 2565 กลุ่มบริษัทดังกล่าวได้ร่วมกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นของรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง รับงานกว่า 30,000 ล้านบาทในโครงการเดียว และบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยด้วย.-สำนักข่าวไทย