นายกฯ เป็นประธานงานวันครู ยอมรับห่วงสถานการณ์ก่อนเลือกตั้ง

หอประชุมคุรุสภา 16 ม.ค.- นายกฯ เป็นประธานงานวันครู กราบอาจารย์โรงเรียนนายร้อยฯ พร้อมมอบนโยบายหลัก พัฒนาการศึกษา ยอมรับห่วงสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้ง ขอประชาชนใคร่ครวญ ไม่มีสิ่งไหนให้เปล่าได้ตลอดไป ย้ำงบประมาณต้องใช้จ่ายอย่างรอบคอบ


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานงานวันครู ครั้งที่ 67 ประจำปี 2566 ที่หอประชุมคุรุสภา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลังครู คือ หัวใจของการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษา” Teacher’s Power is the Heart of Transforming the Educational Quality ในรูปแบบผสมผสาน ทั้ง Onsite และ Online ในโอกาสนี้ มีพิธีคารวะครูอาวุโสของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ พลเอก เกษม นภาสวัสดิ์ ครูที่เคยสอนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และมอบรางวัล จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ ประจำปี 2566 และรางวัลคุรุสภา ประจำปี 2565 “ระดับดีเด่น” รวมจำนวน 17 ราย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลังของครู คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษา ในการสร้างและพัฒนาคน เพื่ออนาคตของประเทศ ครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมากในการเป็นผู้นำการเรียนรู้ กระตุ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าของลูกศิษย์ในด้านสติปัญญาและจิตใจและมีคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิตในการประกอบอาชีพ สร้างสรรค์ให้ศิษย์เป็นคนดี เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม


นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับปีนี้ได้เขียนคำขวัญทั้งของเด็กและของวันครูให้มีความสัมพันธ์กัน โดยในวันครูนี้มีคำขวัญว่า ศิษย์ดี ครูดี มีอนาคต โลกใบนี้ ไม่ใช่โลกใบเดิม มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างมากมาย ดังนั้นครูจะต้องเป็นผู้ที่กระตุ้นสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้กับผู้เรียนให้เจริญงอกงามในทางที่ดีและถูกต้อง ไม่ให้เกิดความวุ่นวายหรือทำให้เกิดปัญหาทางสังคม ต้องจุดประกายให้ผู้เรียนรู้จักคิดเป็น ให้เจริญเติบโตถูกต้องตามครรลองคลองธรรม คำว่าอนาคต ไม่ใช่เฉพาะตัวของของเด็ก แต่ประเทศชาติจะมีอนาคตไปด้วย จะทำให้เด็กเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากต้องลองไปหาดูว่าทำอย่างไรให้เป็นพลเมืองที่ดี ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจร่างกายและความประพฤติประกอบกัน การทำดีหรือไม่ดี ตัวเองนั้นจะรู้ตัว ดังนั้น อย่าทำอะไรที่ไม่ดี ตนพยายามประคับประคองให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี ตนไม่อาจกล่าวว่าใครทำดีหรือไม่ดี เพราะตนมีหน้าที่ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือหน้าที่ของตน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันที่บริบทสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วควบคู่กับความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี ครู และผู้บริหารการศึกษา จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งรัฐบาลมีแนวทางการจัดการศึกษาให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ดังนี้

1.เน้นการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีสมรรถนะในการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นลักษณะการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ มีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างรู้เท่าทัน และทักษะ การใช้ชีวิตในโลกอนาคต พร้อมต้องรับผิดชอบต่อสังคม ครอบครัว รู้จักรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

2.ส่งเสริมการสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือดิจิทัล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศมากขึ้นในอนาคต


3.การจัดสถานการณ์การเรียนรู้ที่ทำให้นักเรียน ได้รู้จักรากเหง้า ความเป็นมาของชาติ เอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะสะท้อนความเป็นตัวตนของคนไทย จึงเป็นสิ่งที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จะต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ให้นักเรียนเกิดความรัก ความภาคภูมิใจ หวงแหนแผ่นดินเกิด และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ โดยทั้งหมดนี้จะต้องตั้งอยู่บนหลักการที่ทำให้นักเรียนสามารถสร้างความรู้ขึ้นเองด้วยหลักของเหตุและผล

4.การยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความปรารถนาและมุ่งมั่นมากที่สุด การจะยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบให้ดีขึ้นได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา จะต้องพุ่งเป้าหมายให้ความสำคัญกับเปลี่ยนแปลงในระดับห้องเรียนและต้องใช้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นตัวตั้ง

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า อย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีความเป็นมาจากไหน ก็จะไม่รักประเทศตัวเอง

“หลายคนลืมว่าเราคือคนไทย เกิดที่นี่ ประกอบอาชีพที่นี่ กินนอนที่นี่ ตายที่นี่ นี่คือแผ่นดินของเรา ต้องถ่ายทอดให้ทุกคนสำนึกตรงนี้ ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ไม่ยากเลย แค่ทำความดี ทำเพื่อคนอื่นบ้าง ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน นี่คือทำให้ประเทศไทยสงบสุขไปเยอะแล้ว” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ตนต้องพัฒนาตัวเอง รับฟังจากผู้รู้ เพื่อให้ประเทศเดินหน้า ขอขอบคุณครูผู้อาวุโสทั้งหมดที่ได้สั่งสอนมา ให้ตนสามารถมายืนอยู่ได้ทุกวันนี้

“สิ่งสำคัญที่สุดคือครูได้สอนให้ตนเป็นคนดี มีความสุจริต ยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องถูกดำเนินการตามกฏหมายทั้งสิ้น ไม่มีการละเว้น ตราบใดที่มีคดีเกิดขึ้นมา ลองไปย้อนดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องมีการสอบสวน และที่ผ่านมาทำไมไม่มีคดี ก็ไม่ทราบเหมือนกัน” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เรื่องข้อสอบที่จะต้องมีการเลือกข้อที่ถูกต้อง ทำให้การเขียนข้อความไม่ค่อยมีความถนัดกัน ทำให้เห็นได้ว่าการร่างหนังสือค่อนข้างจะอ่อนลง แต่ก็เห็นใจ การออกข้อสอบต้องให้การเรียนรู้ไปด้วย ไม่ใช่ออกให้ยากอย่างเดียว ขณะที่วันนี้ให้ความสำคัญไปยัง กศน. ซึ่งตนได้นำ กศน.เข้าไปในค่ายทหาร เพราะทหารบางคนไม่ได้เรียนหนังสือมากนัก เพื่อที่จะได้กลับไปเป็นผู้นำชุมชน ให้ทุกคนภูมิใจว่าได้เล่าเรียนศึกษาเพิ่มเติมเพราะที่ผ่านมาไม่มีโอกาส วันนี้แม้หลายคนจะต้องออกจากการเรียนหนังสือ เพราะความจำเป็นของครอบครัว ดังนั้นจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ได้กลับเข้ามาเรียน ไม่ว่าจะในวิธีใด เช่น การเรียนออนไลน์

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ในช่วงนี้ที่กำลังก้าวเข้าสู่การเลือกตั้ง โดยขอให้ทุกคนเดินหน้าประเทศ ใคร่ครวญให้ดี

“สถานการณ์กำลังมีปัญหาอยู่ในอนาคตของเรา ในเรื่องของการเดินหน้าประเทศ ในเรื่องของการเลือกตั้ง ขอให้ทุกคนมีความคิดใคร่ครวญให้ดี ตนไม่กล้าที่จะพูดว่าใครดีหรือไม่ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือทำอย่างไรให้ประเทศไทยอยู่ได้ มีเสถียรภาพเข้มแข็ง เราผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากตั้งแต่ โควิด-19 การท่องเที่ยวก็ดีขึ้น อย่าลืมว่าเราฟันฝ่ามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของเราและด้วยชีวิตของหลายคนที่ต้องสูญเสีย ดังนั้นต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน วันข้างหน้าต้องจับมือกันเดินไปอย่างนี้ ต้องเดินไปให้ได้ไปพร้อมกัน การช่วยเหลือที่ให้เปล่ามากๆนั้น เป็นไปไม่ได้ จำไว้ให้ว่าเป็นไปไม่ได้ ลองไปย้อนกลับดูว่าใช้งบประมาณอะไรไปแล้วบ้าง ที่พูดวันนี้พูดในนามนายกรัฐมนตรี เป็นห่วงในเรื่องเหล่านี้ ที่ผ่านมาประคับประคองทุกอย่างมาแบบนี้ทุกอย่างเดินหน้ามาได้ ก็เพราะเราพิจารณาในทุกด้านตนไม่ได้พูดเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ และทุกคนต้องเข้าใจในการบริหารราชการแผ่นดิน” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ นายกรัฐมนตรีได้รับกำลังใจจากเด็กน้อยวัย 3 ขวบ ซึ่งได้ให้นายกรัฐมนตรีอุ้มและเด็กก็กล่าวว่า “สู้ๆ” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนขึ้นรถกลับทำเนียบรัฐบาล.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

Cambodia PM Hun Manet in military uniform

กัมพูชาเสนอศาลโลกตัดสินดินแดนพิพาทกับไทย

พนมเปญ 2 มิ.ย.- ผู้นำกัมพูชาเสนอให้นำข้อพิพาททางดินแดนกับไทยให้ศาลโลกตัดสิน และได้สั่งการให้เจบีซีเร่งจัดการหารือกับไทยเรื่องปักปันเขตแดน ด้านกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงไทยเรื่องเหตุปะทะที่มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ขแมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานวันนี้ว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตได้โพสต์ถ้อยแถลงในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า เขาได้ตัดสินใจตามที่รับฟังรายงานสรุปจากนายทหารที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย หลังจากที่เขากลับจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ โดยได้สั่งการให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทยหรือเจบีซี (JBC) เร่งจัดการประชุมกับฝ่ายไทยเพื่อเดินหน้าการสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ถ้อยแถลงระบุด้วยว่า กัมพูชากำลังเตรียมบรรจุประเด็นใหม่ไว้ในวาระการประชุมเจบีซี คือ การเสนอให้นำข้อพิพาทยาวนานเรื่องปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาเมือนควาย และพื้นที่มอมเบ เข้าสู่การตัดสินชี้ขาดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกที่กรุงเฮกในเนเธอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเตือนว่า การยั่วยุเมื่อไม่นานมานี้ของกลุ่มสุดโต่งเล็ก ๆ ได้จุดชนวนความตึงเครียดและโหมกระพือกระแสรักชาติขึ้นใน 2 ประเทศ เขาหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุทางออกสุดท้ายให้แก่พื้นที่พิพาทอ่อนไหวเหล่านี้ กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาชายแดนด้วยกลไกทางเทคนิคและหลักการทางกฎหมาย แต่ก็สงวนสิทธิที่จะปกป้องบูรณภาพทางดินแดนด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้อาวุธ หากมีความพยายามใช้กำลังทหารรุกรานดินแดนของกัมพูชา ด้านกระทรวงกิจการต่างประเทศและความร่วมมือสากลของกัมพูชาได้ยื่นหนังสือทางการทูตประท้วงไทย ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาเมื่อเย็นวันอาทิตย์ว่า กองทัพไทยเปิดฉากยิงทั้งที่ไม่มีการยั่วยุจากที่ตั้งทางทหารของกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหารเมื่อราวเวลา 05.30 น.วันที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้ทหารกัมพูชาถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม 1 นาย และเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของกัมพูชา กระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำดังกล่าวว่า ผิดกฎหมาย รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทันทีและถี่ถ้วน และต้องนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ.-814.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ กัมพูชา สั่งระดมทหารประชิดชายแดนไทย

1 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระดมกำลังทหารประชิดชายแเดนไทย ขณะเดินทางเยือนญี่ปุ่น พร้อมติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดนติดกับไทยอย่างใกล้ชิด หนังสือพิมพ์ขะแมร์ ไทมส์ รายงานว่า ฌอง-ฟรองซัว ตัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศ ระบุว่านับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งตามมแนวชายแดนระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือนญี่ปุ่น ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเดินทางกลับมายังกัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา และได้สั่งการด้วยตัวเองให้ระดมกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าประชิดชายแดนด้านที่ติดกับไทย เพื่อปกป้องอธิปไตยและพรมแดนกัมพูชา พร้อมกับยืนยันว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนด้านที่ติดกับไทย กลับมาสงบเรียบร้อยตามปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ยังได้ติดต่อและสั่งการตามสายงานลงไปยังรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนาธิการกองทัพบก ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย พร้อมกับเรียกร้องประชาชนชาวกัมพูชาเชื่อมั่นการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและรัฐบาลกัมพูชา ในการปกป้องดินแดน และหาหนทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณชายแดนติดกับไทย โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และหลังจากนี้ คณะกรรมการพรมแดนของกัมพูชา มีกำหนดพบหารือในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดข้อขัดแย้ง และนำเสนอเพื่อเข้าสู่การเจรจาต่อไป.-สำนักข่าวไทย

“โอปอล สุชาตา” คว้ามงกุฎ Miss World 2025

อินเดีย 1 มิ.ย.-“โอปอล สุชาตา” สาวงามตัวแทนจากไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎ Miss World 2025 มาครองได้สำเร็จ เวทีการประกวด Miss World 2025 ครั้งที่ 72 ณ HITEX Convention Center เมืองไฮเดอราบัด รัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย โดย “โอปอล สุชาตา ช่วงศรี” สาวงามตัวแทนจากประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้ามงกุฎมิสเวิลด์มาครองได้สำเร็จ โดยการประกวดในปีนี้มีนางงามจาก 108 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วม ทั้งนี้ในรอบ 8 คนสุดท้าย มีนางงามที่ผ่านเข้ารอบได้แก่ บราซิล มาร์ตินีก เอธิโอเปีย นามิเบีย โปแลนด์ ยูเครน ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย ซึ่งจนกระทั่ง รอบ 4 คนสุดสุดท้าย มาร์ตีนิก เอธิโอเปีย และ โปแลนด์ ทั้ง 4 […]

ข่าวแนะนำ

กรมอุตุฯ เตือนทั่วไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง-ตกหนักบางแห่ง

กทม. 3 มิ.ย.- กรมอุตุฯ เตือนมรสุมพัดปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ยังมีฝนฟ้าคะนองและตกหนักบางแห่ง ทะเลอันดามันคลื่นสูง 2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง .-สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” ปัดขัดแย้งกองทัพ ปมปิดด่าน

2 มิ.ย. – “ภูมิธรรม” ปัดขัดแย้งกองทัพ ปมปิดด่าน ลั่นมีเอกภาพ แจงรัฐบาลเชื่อมั่นท่าที 2 ประเทศลดความรุนแรงได้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความชี้แจงทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าเรียน สื่อมวลชน ทุกท่าน ตามที่มีข่าวกระจายกันในแวดวงสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหาร ในการจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อปัญหาการจัดการระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปิดด่านชายแดน ผมขอยืนยันว่า ผมกับกองทัพได้หารือร่วมกันหลายครั้ง และเห็นตรงกันว่าสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างพยายามหาทางออกในการคลี่คลายวิกฤติ โดยยึดผลประโยชน์ประชาชนและอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ เราจึงกำหนดขอบเขตในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และพยายามลดเงื่อนไขที่จะระงับยับยั้งมิให้เหตุการณ์ความขัดแย้งขยายตัวมากไปกว่านี้ สำหรับเรื่องการปิดชายแดนขณะนี้ รัฐบาลเห็นว่าท่าทีและการแสดงออกของทั้งสองประเทศ ยังเป็นการแสดงออกที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้ เพราะการปิดด่านชายแดนแม้ไม่ใช่เรื่องการสู้รบทางตรง แต่กลับจะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่จะกระทบกับวิถีชีวิตประชาชน ทำให้สถานการณ์ยากต่อการคลี่คลาย แต่ขณะเดียวกัน กองทัพก็ตั้งอยู่ในความระมัดระวังและไม่ได้ละเลยในการปกป้องตนเองและอธิปไตยเหนือดินแดน ขณะนี้รัฐบาล ร่วมกับกำลังเหล่าทัพและกระทรวงต่างประเทศ กำลังใช้กลไก JBC เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดเวทีถกเถียงตามข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ผมจึงขอเรียนชี้แจงยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ และมีพันธะสัญญาที่มั่นคงในการรักษาความสงบสุขให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และความปลอดภัยมากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าเราจะหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความสูญเสียทั้งสองฝ่ายในทุกด้าน ที่ผ่านมา เราร่วมกันใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ทั้งการประชุม หารือ […]

แผ่นดินไหวเชียงใหม่ ขนาด 4.5 รอยเลื่อนแม่ทาขยับ

เชียงใหม่ 2 มิ.ย.- ระทึก! แผ่นดินไหว ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 4.5 ลึก 1 กม. ประชาชนแจ้งรู้สึกสั่นไหว 4 จังหวัด สาเหตุเกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง แผ่นดินไหวที่ ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ฉบับที่ 1/2568 กอง​เฝ้า​ระวัง​แผ่นดินไหว​ กรม​อุตุนิยม​วิทยา​รายงาน​ว่า​ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2568 เวลา 14.07 น. เกิดแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ขนาด 4.5 ความลึก 1 กิโลเมตร ได้รับแจ้งรู้สึกสั่นไหวบริเวณ จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา ลำปาง และแม่ฮ่องสอน โดยสาเหตุเกิดจากกลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งการอำเภอพร้าว และอำเภอใกล้เคียง ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตและความเสียหาย […]

ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหา ปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลาง

2 มิ.ย.- ศาลออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหา ปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลาง ย่านท่าเรือคลองเตย ส่วนคนขับรถชน รปภ. เสียชีวิต โดนฆ่าคนตาย เพิ่มอีก 1 ข้อหา 13.00 น. ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา การดำเนินคดี 6 ทรชนผู้ก่อเหตุขโมยบุหรี่ไฟฟ้าของกลางของกรมศุลกากรและก่อเหตุถอยรถตู้พุ่งชนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ข้อมูลว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติออกหมายจับ 6 ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับทั้ง 6 คนถูกดำเนินคดีในข้อหา 4 ข้อหา ในแก่ ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นการจับกุม ร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และซ่องโจร ขณะที่นายสิทธิศักดิ์ หรือแบงค์ ถูกดำเนินคดีเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดของตนหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนกระทำไว้ ทั้งนี้ หลังศาลอนุมัติออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว […]