กระทรวงการต่างประเทศ 8 มิ.ย.-โฆษก กต. แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังสงบ หลังไทยออกมาตรการปิด-เปิด จุดผ่านแดน พร้อมเรียกร้องกัมพูชาลดความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน และใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหา กร้าว “กัมพูชา” ไม่ใช่ประเทศเดียวที่สื่อสาร แต่ “ไทย” ก็แจ้งข้อเท็จจริงให้มิตร-นานาประเทศรับทราบ ย้ำ “รัฐบาล-กองทัพ” ลงเรือลำเดียวกัน เอา “อธิปไตยแห่งรัฐ” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดแน่นอน
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงพัฒนาการสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชาว่า ตามที่มติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ มอบอำนาจให้ กองทัพภาคที่หนึ่งกองทัพภาคที่สองและกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ออกมาตรการควบคุม การปิดเปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทในพื้นที่ ที่รับผิดชอบตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาและได้มีการออกคำสั่ง ในทุกจุดครบถ้วนตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ขณะนี้สถานการณ์บริเวณชายแดนยังสงบ เรียบร้อยดี และตามที่ทหารได้ชี้แจงแล้ว ว่าไม่ได้ปิดด่านทั้งหมดทันที แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอน เหมาะสมตามแต่สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ซึ่งแบ่งออกเป็น4 ขั้น ได้แก่ การผ่านแดน โดยจำกัดอนุญาตเฉพาะบุคคล ที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่ง แรงงานและความจำเป็นอื่น ๆ โดยจำกัดและเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
ขั้นที่สองเป็นการปรับลดเพิ่มวันเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และกำหนด เวลาเข้าออกที่ชัดเจน ขั้นที่สาม ปิดจุดผ่านแดนบางจุด
และขั้นที่สี่คือการปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน ในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุด
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สำหรับจุดผ่านแดนชายแดนไทย-กัมพูชา ขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปรับเวลาปิด-เปิด เอกสารที่ต้องใช้ ข้อจำกัด ต่างๆ ในระยะนี้ ซึ่งแต่ละจุดจะกำหนดมาตรการแตกต่างกันไป ดังนี้
กองทัพภาคที่หนึ่งโดยกองกำลังบูรพาเป็นผู้กำหนดมาตรการสำหรับจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า ในจังหวัดสระแก้ว
กองทัพภาคที่สองโดยกองกำลัง สุรนารีเป็นผู้กำหนดมาตรการสำหรับจุด ผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรน การค้าในจังหวัดอุบลราชธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์
กองทัพเรือโดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดเป็นผู้กำหนดมาตรการ สำหรับจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า ในจังหวัดจันทบุรี โดยจุดผ่านแดนที่ไทยประกาศมีเป้าหมาย โดยพิจารณาจากความจำเป็นต่างๆ ในพื้นที่ซึ่งการจำกัดเวลาเปิด-ปิด เป็นไปเพื่อดูแลความปลอดภัย ของพี่น้องได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งมาตรการต่างๆ ถูกกำหนดขึ้นตามลักษณะเฉพาะ การใช้งานของแต่ละจุดผ่านแดน โดยเฉพาะการผ่านแดนที่เกิดขึ้นเป็นประจำและจำเป็นเพื่อให้ การค้าขาย การศึกษา การเข้ารับบริการทางการแพทย์อื่น ๆ ทำได้ตามปกติ
ทั้งนี้ฝ่ายไทยยืนยันมาตลอด ตั้งแต่ต้น และปฏิบัติ ว่าเราปฏิบัติตาม และพร้อมใช้กลไกทวิภาคีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือ เจบีซี ที่กำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และยังคงปฏิบัติmou ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 ที่เป็นเอกสารทางกฎหมายและเป็นกติกาที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน ย่อมต้องยึดถือ รัฐบาลไทยขอยืนยัน ในความเชื่อมั่นว่าใช้กลไกที่ไทยและกัมพูชา มีอยู่ระหว่างการเช่น การประชุมเจบีซี ที่จะ มาถึงนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพื่อลดความตึงเครียดในสภาวะที่เปราะบางเช่นนี้ และเพื่อหาทางออกอย่างสันติ เคารพ ซึ่งกันและกันและด้วยความจริงใจต่อกัน เพื่อให้ชายแดนของเรากลับสู่ภาวะปกติ มีความสงบสุขและปลอดภัย ดังนั้นไทย จึงขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้ฝ่ายกัมพูชาลดระดับความตึงเครียด ตลอดแนวชายแดน หันมาใช้กลไกทวิภาคี ให้เป็นประโยชน์สูงสุดเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามออกไป
จากนั้น เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถาม โดยนายนิกรเดช ย้ำว่า การเปิดปิดด่าน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการค้า แต่การเปิดปิดด่านเป็นไปเพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยของคน อาจจะมีผลกระทบที่อาจจะเกิดกับการค้า ซึ่งเราได้คำนึงถึงไว้แล้วจึงได้มอบอำนาจให้แต่ละจุดภายใต้ทหารควบคุมและดูความเหมาะสม
“เรายังไม่ได้ปิดด่าน เราปรับเวลาการเปิดปิดด่าน แล้วจำกัดการเข้าออกของคน และไม่ใช่ทุกด่านเปิดปิดเวลาเดียวกันและจำกัดคนประเภทเดียวกัน แต่เราดูตามความเหมาะสม ส่วนเรื่องใครได้รับผลกระทบมากน้อยกว่ากันนั้น เราก็ได้คำนึงถึง และผมขอตอบในส่วนของประเทศไทยเท่านั้น เราไม่มีปัญหาครับ” นายนิกรเดช กล่าว
เมื่อถามว่าท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาตอกย้ำว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ ดังนั้น ทางการไทยต้องทำความเข้าใจกับสังคมอย่างไรบ้าง นายนิกรเดช กล่าวว่า สาเหตุที่ตนออกมาแถลงข่าวทุกวันนี้ ก็พยายามเชิญชวนให้พี่น้องชาวไทยเข้าใจในจุดยืนของเรา สิ่งที่ตนพยายามพูดตอนนี้คืออยากจะให้พี่น้องประชาชนทราบว่าทั้งรัฐบาลและทหาร
“ตอนนี้มีแนวทางเดียวกัน ผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนไทยถูกนำมาเป็นตัวตั้งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่สิ่งอื่น และอธิปไตยแห่งรัฐก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดแน่นอน เพราะฉะนั้น ตอนนี้ทุกคนอยู่ในทิศทางเดียวกัน อยู่ในเรือลำเดียวกัน
และจะเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน อยากจะให้พี่น้องชาวไทยสบายใจได้ในระดับหนึ่งว่าเราไม่ได้ช้า เราทำ เรามีการหารือระหว่างหน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานรัฐ เราเดินหน้ามาตรการทางทหารก็จริง แต่ก็มีการเดินหน้ามาตรการทางการทูตด้วยพร้อมกัน” นายนิกรเดช กล่าว
นายนิกรเดช ระบุว่า แม้จะมีมาตรการเรื่องการปิดด่านเกิดขึ้น แต่เราไม่ได้ทิ้งความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคี JBC ที่กำลังจะมาถึงให้เป็นทางออกอย่างสันติวิธี
นายนิกรเดช ยังยืนยันว่า เรื่องนี้นานาประเทศไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ประเทศไทย เพราะประเทศกัมพูชาไม่ใช่เป็นประเทศเดียวที่สื่อสาร แต่เราก็สื่อสารไปสู่ประเทศอาเซียน และมิตรประเทศอื่นๆ เราสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องบนพื้นฐานของความเป็นจริงว่ามีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่เราสื่อสารคือเราจะจัดการปัญหาเองได้ เราจะจัดการปัญหาด้วยกลไกทวิภาคี ถึงจุดนี้เรายังไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากประเทศที่สาม
นายนิกรเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศที่สามที่สนใจและอยากรู้ก็มี แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการสอบถามข้อเท็จจริง เพราะเขาก็เป็นมิตรประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย เป็นต้น เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จึงแจ้งให้ทราบถึงความเป็นจริงว่าอะไรเกิดขึ้น ตนคิดว่าไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงในชั้นนี้.-312 -สำนักข่าวไทย