กรุงเทพฯ 22 ก.พ.- นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “สงครามการค้า หายนะ หรือโอกาสพลิกชีวิต” ว่า การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ของสหรัฐ คือจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ จากนโนบายมุ่งเน้น America first และความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษี ทำให้ทั่วโลกเกิดความผันผวน 1 เดือนหลังทรัมป์กลับมา หุ่นที่บวกได้คือหุ้นสหรัฐ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตลอด
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทุกอย่าง ทั้งสภาพแวดล้อม สังคมในแต่ละประเทศเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องจับตานโยบายขึ้นภาษีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงต้องจับตาว่าประเทศคู่ค้าอื่นๆ จะตอบโต้สหรัฐอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤติก็มีโอกาส อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น หากมองถึงโอกาส ช่วงนี้เป็นจังหวะที่จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ในช่วงเวลาที่ราคาพาร์ไม่แพงได้เช่นกัน เช่นในหลายๆ วิกฤติที่ผ่านมาได้สร้างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไปแล้วหลายคน
ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนฯ ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ได้ปรับแผนธุรกิจ ปรับกลยุทธ์ รวมถึงปรับโครงสร้าง หลายบริษัทลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทย่อย ให้มีความคล่องตัวขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยี Ai เข้ามาใช้มากขึ้น นโยบายทรัมป์ 2.0 เป็นการจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัว ขณะนี้ยังไม่ได้เห็นผลอะไรมาก แต่เชื่อว่าในอีก 6 เดือทนข้างหน้าจะเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขณะที่หลายบริษัทเปลี่ยนจากการไล่บี้กันของคู่แข่ง แต่ปัจจุบันเป็นการจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเติบโตไปด้วยกันแทน เช่น Deepseek ที่ออกมาแป๊บเดียวก็จับมือกับ BYD
ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย แม้ว่างบประมาณภาครัฐจะสามารถเบิกจ่ายได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณก้อนใหญ่เข้าสู่ระบบ เงินมาช้าการทำงานของรัฐบาลก็ดูเหมือนจะไม่ราบรื่น ขณะที่การเบิกจ่ายงบล่าช้าภาคเอกชนขาดเงินลงทุน หลายบริษัทปรับลดงบลงทุนน้อยลง
สำหรับนักลงทุนต้องเลือกการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ก็ต้องปรับตัว โดยนักวิเคราะห์ของ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่านอกจากการติดตามปัจจัยแวดล้อมทั้งในและนอกประเทศ ยังต้องติดตามพฤติกรรมของเจ้าของและผู้บริหารของบริษัท รวมถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทต่างๆ อย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพราะบางบริษัทเจ้าของหรือผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ มีการขายหุ้นออกมาค่อนข้างเยอะในบางจังหวะ ดังจะเห็นในหลายหลายเคสที่ผู้บริหารขายหุ้นโดยอ้างว่าจะนำเงินไปใช้อย่างอื่น แต่ในความเป็นจริงถ้าหากว่าของเราดีจริง เราจะขายทำไม จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราจะต้องติดตามใกล้ชิดมากขึ้น
“ยอมรับในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา หุ้นไทยเลือกยากมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เยอะ และการขึ้นลงของราคาหุ้นคาดการณ์หรือยาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปีนี้ คิดว่า กนง.จะลดลงเพียง 1 ครั้ง ในไตรมาส 2 และจากนั้นก็จะคงยาวไปถึงปี 2569″ น.ส.อาภาภรณ์ กล่าว
ส่วนธีมที่น่าลงทุนสำหรับปีนี้ เล็งไว้ 4 Theme ประกอบด้วย
1.อัตราดอกเบี้ยในประเทศลดช้า การลงทุนฟื้นตัว หุ้นเด่น มองว่าเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น BBL KTB LBANK TTB
2.ท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง และมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม มองหุ้นเด่น ได้แก่กลุ่มโรงแรม และอาหาร ERW MINT
3.Chaina+1 & New S-curve หุ้นเด่นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม AMATA
4.Data Center & Cloud หุ้นเด่นเป็นกลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ADVANC GULF%INTUCH .-517 สำนักข่าวไทย