ไทยสร้างไทย 7 ก.พ.- “ณัฐพงษ์” นำ 5 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน แถลงกรอบญัตติซักฟอก ม.151 ขีดเส้นไม่เกิน 27 ก.พ.นี้ หวังรัฐบาลให้เวลา 5 วัน ชี้ขาดประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน ปล่อยปละละเลยปัญหาสังคม ส่อเค้าถึงการทุจริต มีผลประโยชน์ทับซ้อน
พรรคการเมืองฝ่ายค้าน นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และนายกัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม ร่วมแถลงข่าวหลังประชุมเกี่ยวกับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ภายใต้ชื่อ “การประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน ผนึกกำลังใจสร้างการเมืองไทยสุจริต”
นายณัฐพงษ์ กล่าวขอบคุณพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และพรรคไทยสร้างไทยในฐานะเจ้าภาพ ยืนยันหลักการการทำงานร่วมกันของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่ยึดมั่นและเคารพหลักการอุดมการของแต่ละพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน
จากการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง ได้กรอบระยะเวลาในการยื่นญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ชัดเจนว่า ภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้แน่นอน จะมีการยื่นญัตติคิดว่าวันที่วันสุดท้ายที่มีการยื่นคือวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร และแสดงความมั่นใจว่าเนื้อหาการอภิปรายจะมีความเข้มข้น ส่งประธานวิใฝ่ค้านเจรจากับวิปรัฐบาล ขอกรอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจใช้เวลา 5 วัน คาดหวังว่ารัฐบาลจะไม่ปิดกั้นการทำงานตรวจสอบถ่วงดุลของฝ่ายค้าน ซึ่งจะเกิดสูงสุดต่อประชาชน
นายณัฐพงษ์ ยังระบุว่าช่วงครึ่งเทอมที่ผ่านมาของการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ ต้องยอมรับว่า ไม่เพียงอยู่ในสมัยของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เท่านั้น แต่อยู่ในช่วงที่ต่อเนื่องของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งจากการหารือเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและปล่อยประละเลยปัญหาสังคมในหลายเรื่อง รวมถึงส่อเค้าถึงการทุจริต และมีผลประโยชน์ทับซ้อน และการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตย ที่ผู้มีอำนาจต้องถูกตรวจสอบถ่วงดุล และยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเนื้อหาการอภิปรายไม่ไว้วางใจในตอนนี้
ส่วนการทำงานของพรรคการเมืองฝ่ายค้านหลังจากนี้ หากมีประเด็นเนื้อหาใด ที่ประชาชนหรือหน่วยงานราชการมีข้อมูลเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน สามารถส่งให้พรรคฝ่ายค้านทุกพรรคได้ อย่างเช่น พรรคเสรีรวมไทยที่ได้มายื่นข้อมูลเพิ่มเติม .314.-สำนักข่าวไทย