กรุงลิมา ประเทศเปรู 16 พ.ย.- นายกรัฐมนตรี หารือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น พร้อมแลกเปลี่ยนการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนสองประเทศ พร้อมอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากปักกิ่งประดิษฐานท้องสนามหลวง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลิมา ประเทศเปรู ซึ่งช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง ณ โรงแรม เดลฟิเนส โฮเทล แอนคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในห้วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างการหารือ ว่า เมื่อได้มารับหน้าที่นายกรัฐมนตรี จึงเห็นความผันผวนในภูมิภาคทำให้มีความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น เพื่อสันติสุขและความก้าวหน้า ซึ่งหลักการตามข้อริเริ่มปรับโลกของจีนเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลตรงกับหลักการของไทย และตอบโจทย์ความท้าทายในขณะนี้ ฉะนั้นขอยืนยันว่าประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับจีนทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อความรุ่งเรืองและสงบสุขของภูมิภาคและโลก โดยจะส่งเสริมโลกาภิวัตน์ ความเชื่อมโยงการรวมตัวทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและครอบคลุม รวมทั้งระบบ ตลาดเสรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบของเอเปคที่ไทยให้จีนเป็นเจ้าภาพในการประชุมเอเปคปี 2026 และความสัมพันธ์ทางการทูตในปีหน้าถือเป็นปีทองของไทย-จีน ที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ และวางแผนอนาคตไทย-จีน
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงตอบรับการเสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2568 ตามคำเชิญของรัฐบาลจีน จึงถือเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และภริยา ในการเดินทางที่ประเทศไทยในปีหน้าด้วย
ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งมิตรภาพไทย-จีนมีลักษณะพิเศษและมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในทุกระดับและเชื่อว่าจะเจริญรุ่งเรืองลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งยิ่งขึ้นไปอีกใน 50 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีการขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรมและการศึกษา รวมถึงวิทยาการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ ด้านอวกาศ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี กล่าวชี่นชมหลักการความก้าวหน้าของจีนและนโยบายกำลังผลิตคุณภาพใหม่ หรือ new quality productive force ด้วยการเน้นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ประสิทธิภาพสูง และคุณภาพสูง สอดคล้องกับหลักการพัฒนาของไทย มุ่งส่งเสริมโลกาภิวัฒน์ การค้าเสรีที่เปิดกว้าง ยึดมั่นในกติการโลก ซึ่งไทยสนไจที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การแก้ปัญหาความยากจน รวมไปถึงนโยบายของจีนในการเผชิญความท้าทายของการเปลี่ยนสภาพภูมิภาคอากาศ การผลิตคุณภาพใหม่รวมทั้งเทคโนโลยีอวกาศ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต พลังงานสะอาด และรถยนต์ EV และไทยยังพร้อมที่จะร่วมมือจีน ภายใต้แนวคิดข้อริเริ่มความศิวิไลซ์โลก หรือ Global Civilization Initiative (GCI) โดยส่งเสริม soft power เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวขอบคุณจีนที่ให้การสนับสนุนประเทศไทยไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS (บริกส์) หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในทุกระดับทั้ง การประชุม กรอบความร่วมมือเอเชีย ( ACD ) , การประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) รวมทั้งความร่วมมือสาขาใหม่ๆ ระหว่างกัน เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีดิจิทัล อีกทั้งยินดีที่มีการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน และความร่วมมือด้านการศึกษา เยาวชน และการเชื่อมโยงระหว่างภาคประชาชน รวมทั้งการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามแดน และภัยออนไลน์ ต่างๆ ด้วย
ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เห็นชอบให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ(พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ของจีนมา ประดิษฐานชั่วคราวที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนในปี 2568
และนอกจากนี้คนไทยในโลกออนไลน์ยังตื่นเต้นที่จะได้ชมแพนด้าที่จีนจะส่งมอบให้กับไทยอีกหนึ่งคู่ เพื่อเป็นทูตสันถวไมตรีในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปีระหว่างไทย- จีน ที่สวนสัตว์เชียงใหม่.-315 -สำนักข่าวไทย