กรุงเทพฯ 4 ส.ค. – ทนายกองทัพธรรม เปิดวัดสุทธิวราราม แถลงโต้ปมไวยาวัจกรกล่าวหาเจ้าอาวาสโกงเงินวัดเกือบ 100 ล้านบาท
พระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม พร้อมทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายกองทัพธรรม แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่นายชาญณรงค์ เพียรดี อดีตไวยาวัจกรวัดสุทธิวราราม ร้องเรียนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร, เจ้าคณะเขตสาทร, เจ้าคณะแขวงสาทร ตามลำดับชั้น และผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) เหตุเกิดช่วงกลางปี 2562-มิถุนายน 2565 ว่า เจ้าอาวาสวัด ยักยอกเงินวัดฯ จำนวน 95 ล้านบาท และนำศพของวัดที่เผาไม่หมดแล้วเอาศพไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา
ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่าที่เข้ามารับทำคดีนี้เพราะเห็นว่าพระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวรารามถูกกลั่นแกล้ง เนื่องจากอดีตไวยาวัจกร ยื่นหนังสือร้องเรียนตามหน่วยงานดังกล่าวถึง 3 ครั้ง 3 ครา ครั้งแรกทำหนังสือร้องเรียนว่า พบความไม่โปร่งใสในการเบิกจ่ายเงินของวัด และการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของพระสุธีรัตนบัณฑิต กรณีปล่อยให้พระครูสังฆรักษ์ อนุสร อบอุ่น ดูแลการเงินฌาปนกิจของวัดและส่อไปในทางทุจริต เอาเงินค่าเช่าที่ดินวัดรายปีเข้าบัญชีเบิกจ่ายแต่ผู้เดียว เงินค่าเช่าตึกของวัดซึ่งผู้ร้องเป็นคู่สัญญาผู้ให้เช่ากับผู้เช่า แต่ไม่ได้รับรู้เรื่องเงินว่าได้เท่าไร และเงินไปอยู่ที่ไหน เจ้าอาวาสเอาเงินของวัดไปซื้อที่ดินที่จังหวัดเชียงราย นำศพที่เผาไม่หมดไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา และขอให้ตรวจสอบการสร้างเสมาโบสถ์ ราคา 6 ล้านบาท
ต่อมาในวันที่ 10 ก.ค.62 ยังได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะแขวงยานนาวา ขอถอนคำร้อง ระบุว่าไม่พบการทุจริตตามที่ร้องเรียน โดยเชิญสื่อมวลชนหลายสำนักมาแถลงข่าวในวันที่ 9 ม.ค.63 ว่าจะร้องเรียนเรื่องนี้ต่อเป็นครั้งที่ 2 จากนั้นวันที่ 4 ก.พ.63 ได้ทำหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี จากเรื่องที่เคยร้องเรียน 6 เรื่อง ลดเหลือ 3 เรื่อง คือ เจ้าหน้าที่เผาศพไม่หมดแล้วนำศพไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำบัญชีรายรับรายจ่ายไม่ถูกต้องมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตจนเป็นเหตุให้เงินของวัดสูญหายไป 95 ล้านบาท และนำเงินของวัดไปสร้างรีสอร์ตส่วนตัวที่ จ.เชียงราย
ต่อมา พระธรรมสุธี รักษาการแทนเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้ทำหนังสือถึง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อ 12 ธ.ค.63 ว่า ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ปรากฏความผิดตามที่มีร้อง แต่เพื่อความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ทางคณะสงฆ์จึงตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ถึง 2 ครั้ง ในวันที่ 11 มี.ค.2564 และช่วงปลายปี 2564
หลังจากทราบผลการตรวจสอบของคณะสงฆ์ ทำให้อดีตไวยาวัจกรไม่พอใจโทรตามสื่อมวลชนหลายสำนักให้มาทำข่าวเป็นครั้งที่ 3 เมื่อ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าพระสุธีรัตนบัณฑิต ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ทุจริต ยักยอก เงินของวัด 95 ล้านบาท, นำเงินไปซื้อที่ดิน สปก.ที่ จ.สระบุรี และ จ.เชียงราย มูลค่ากว่า 3.8 ล้านบาท รวมถึงเรื่องการเผาศพไม่หมดแล้วนำไปทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา
ทนายอนันตชัย ยืนยันพระสุธีรัตนบัณฑิต ไม่เคยมีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหา และมีการทำบัญชีเบิกจ่ายเงินของวัดตามระเบียบคณะสงฆ์ ส่วนกรณีศพเผาไม่หมดแล้วนำไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาทางวัดสุทธิวราราม ดำเนินการตามระเบียบของกรุงเทพมหานครอย่างเคร่งครัด และไม่เคยมีญาติของผู้เสียชีวิตมาร้องในเรื่องนี้ ส่วนที่ดิน สปก. ปัจจุบันใช้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมของวัดสุทธิวราราม ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางคณะสงฆ์ได้สอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเหลือพระสุธีรัตนบัณฑิต แต่อย่างใด
ทั้งนี้ การกระทำของอดีตไวยาวัจกร เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระสุธีรัตนบัณฑิต ทำให้พระสุธีรัตนบัณฑิต ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนที่ไม่ทราบความจริง อาจเข้าใจผิดว่า พระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ซึ่งถือเป็นเจ้าพนักงานนั้น เป็นพระที่ไม่ดี มีเจตนาทุจริต ยักยอกเงินวัด นับเป็นการพยายามกลั่นแกล้ง เพื่อให้พระสุธีรัตนบัณฑิตสึก ส่วนสาเหตุที่ร้องเรียนน่าจะมาจากความไม่พอใจที่อดีตไวยาวัจกรคนดังกล่าว ถูกตัดอำนาจการเบิกถอนเงิน หรือเก็บเงินที่จอดรถ และถูกปลดจากไวยาวัจกร เพราะประพฤติตัวไม่เหมาะสม ชอบด่าพระเณร และเจ้าหน้าที่ภายในวัด อีกทั้งทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล และยิ่งไปกว่านั้น ร้านนวดแผนโบราณภายในวัด ที่ภรรยาของอดีตไวยาวัจกรเป็นเจ้าของถูกสั่งปิด จึงทำให้ไม่พอใจ และผูกใจเจ็บตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัด เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้นายชาญณรงค์ ทำอาชีพขับรถแท็กซี่ ก่อนที่จะขอเข้ามาขับรถให้ทางวัด จากนั้นนายชาญณรงค์ ก็ขอมาดูแลบัญชีกับทางวัดและเป็นไวยาวัจกร ก่อนจะค่อย ๆ ก่อเหตุดังกล่าว ทำให้ทางวัดต้องปลดออก ก่อนที่จะไปร้องเรียนหลายรอบ ที่ผ่านมาก็ต้องไปชี้แจงต่อคณะสงฆ์ตลอดมา เมื่อตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้วก็ไม่มีมูลความจริง และขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากนายชาญณรงค์
เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ยังระบุว่า เหตุการณ์นี้คิดว่าเป็นความแค้นส่วนตัวของนายชาญณรงค์ ที่ไม่พอใจจากการถูกปลดออกจากตำแหน่ง และพยายามไปให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าว และก็คาดว่าจะมีการทำเป็นขบวนการที่ทำให้ทางวัดเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดจะดำเนินคดีกับนายชาญณรงค์ แต่ภายหลังก็ยังพบว่ามีการพยายามใส่ร้ายจนทำให้เกิดความเสียหาย จึงได้มอบอำนาจให้นายนฤเบศ ปั่นแก้ว เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตไวยาวัจกร กับพวก ในข้อหา “ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จโดยรู้อยู่แล้วว่า มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิด, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น, หมิ่นประมาท และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา”. -สำนักข่าวไทย