ลำดับเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านถล่มทับดับเพลิง-กู้ภัยเสียชีวิต

กรุงเทพฯ 3 เม.ย. – ลำดับเหตุการณ์ไฟไหม้และบ้านพังถล่มทับนักดับเพลิงและอาสากู้ชีพเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ เราไปย้อนภาพเหตุการณ์ที่มีผู้บันทึกภาพเอาไว้ได้


เหตุการณ์บ้าน 3 ชั้น บนถนนบรมราชชนี เขตทวีวัฒนา เกิดเพลิงไหม้ก่อนพังถล่มลงมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านตั้งแต่เวลา 05.51 น. จึงระดมเจ้าหน้าที่จากสถานีดับเพลิงนำรถน้ำเข้าพื้นที่ไปฉีดสกัดเพลิง พร้อมกับประสานกู้ภัยให้ส่งทีมลงไปค้นหา และช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่ภายใน

เวลา 06.12 น. เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังกันไปตรวจสอบพื้นที่ พบว่าบ้านมีลักษณะเป็นอาคารสูง 3 ชั้น ปลูกอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา มีรั้วรอบขอบชิด ติดถนนในซอย และใกล้กันมีคลองอยู่ จึงระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงที่กำลังโหมไหม้อย่างรุนแรง การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีผู้บาดเจ็บติดค้างอยู่ที่ชั้นดาดฟ้า และบริเวณบันไดหนีไฟด้านหลังบ้าน จึงเร่งวางแผนให้การช่วยเหลือ


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง (06.39 น.) การฉีดน้ำสกัดเพลิงเป็นผล แต่ยังมีแสงเพลิงอยู่ในตัวบ้านเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จึงเปิดปฏิบัติการตรวจสอบผู้พักอาศัยในบ้าน เบื้องต้นพบว่ามีอยู่ด้วยกัน 8 คน และทั้งหมดยังติดค้างอยู่ภายใน

เวลา 07.00 น. มีการวางแผนลำเลียงผู้ที่ติดค้างออกมา ภายหลังเพลิงดับสนิท สามารถช่วยผู้ติดค้างออกมาได้ 7 คน เหลืออีก 1 คน ยังช่วยเหลือออกมาไม่ได้ แต่การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ที่ติดค้างอยู่ไม่มีสัญญาณชีพแล้ว จึงมีการเตรียมการนำเปลขึ้นมารับผู้เสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เพราะขณะเจ้าหน้าที่บางส่วนกำลังระดมฉีดน้ำป้องกัน เพลิงลุกไหม้ขึ้นมาซ้ำ และบางส่วนตรวจสอบความเสียหายอยู่ภายในบ้าน เพื่อเตรียมการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิต เกิดมีเสียงปูนดังลั่นขึ้น และเพียงเสี้ยววินาที บ้านทั้งหลังพังถล่มลงมา ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายนอกต่างวิ่งหนีตาย ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและอาสากู้ภัยที่ยังอยู่ในตัวบ้าน ถูกซากปรักหักพังทับร่างติดค้างอยู่ภายใน ทำให้กู้ภัยต้องระวังในการปฏิบัติงานมากขึ้น โดยใช้โดรนบินตรวจจับความร้อนหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซาก


อย่างไรก็ตาม การหยุดฉีดน้ำเพื่อไม่ให้เพลิงลุกไหม้ซ้ำนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง ทำให้เพลิงกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ก่อนลามขึ้นไปด้านข้างตัวบ้าน ซึ่งในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่กล้าผลีผลามดับไฟ เพราะเกรงว่าการฉีดน้ำจะทำให้ตัวบ้านอุ้มน้ำมากเกินไป และเสี่ยงพังถล่มลงมาซ้ำ ซึ่งเป็นอันตรายกับผู้ที่อยู่ใต้ซากปรักหักพัง

เวลา 09.00 น.เศษ เจ้าหน้าที่สามารถนำร่างนายธนภพ ประไพ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณด้านหลังบ้านออกมาได้ 1 คน เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ พร้อมร่วมหารือวางแนวทางช่วยเหลือผู้ที่ยังติดค้างอยู่ภายในบ้าน โดยบอกว่าไม่สามารถนำอุปกรณ์หนักมารื้อซากอาคารได้ เนื่องจากเกรงว่าหากใช้อุปกรณ์หนักจะทำให้โครงสร้างบ้านพังซ้ำอีก ทำให้การช่วยเหลือในตอนนั้นทำได้เพียงวิธีเดียว คือการเจาะกำแพงด้านข้างเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่คาดว่าจะรอดชีวิต

ภายหลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ผู้ว่าฯ กทม. ออกมายืนยันว่าพบผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ 5 คน โดย 4 คน เป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัย ส่วนอีก 1 คน เป็นผู้อาศัยอยู่ในบ้านนี้ ที่ตอนแรกพบว่าเสียชีวิตและยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ก่อนบ้านถล่ม

เวลา 11.39 น. เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้อุปกรณ์ชนิดพิเศษตรวจจับความเคลื่อนไหวและสัญญาณเสียงภายในตัวบ้านที่พังถล่ม พร้อมแจ้งให้ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุหยุดการเคลื่อนไหว ห้ามใช้เสียง เพื่อทำให้บริเวณดังกล่าวเงียบที่สุด เพราะพบสัญญาณชีพของผู้ที่ติดอยู่ในบ้าน แต่ยังระบุไม่ได้ว่าผู้ที่สื่อสารเป็นใคร เนื่องจากการโต้ตอบมีเพียงการเคาะส่งสัญญาณเท่านั้น

เวลา 12.00 น. มีการส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นหาผู้สูญหายในสถานการณ์ตึกถล่มเข้าไปภายในบ้าน พร้อมกับอุปกรณ์เจาะผนังปูน และอุปกรณ์ตัดถ่าง ซึ่งอุปสรรคในขณะนั้นคือ กลุ่มควันไฟสีเทาที่ลอยอยู่ทุกพื้นที่ของตัวบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเปิดพัดลมดูดอากาศช่วยระบายควัน พร้อมกับเพิ่มอากาศหายใจให้กับผู้รอดชีวิตใช้หายใจ แต่กลับมีอุปสรรคเพิ่ม คือเมื่อลอยในอากาศ ทำให้ไฟบางส่วนที่ยังไม่ดับสนิทปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่ด้วยความที่ใช้น้ำไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าตัวบ้านจะอุ้มน้ำและถล่มซ้ำ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้โฟมในการดับเพลิงแทน

เมื่อการค้นหาผู้ติดค้างอยู่ใต้ซากปรักหักพังเริ่มมีแผนที่ชัดเจนมากขึ้น นายธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย หรือ วสท. ได้นำเจ้าหน้าที่มาสังเกตการณ์ พร้อมนำกล้องวัดมุมเพื่อประเมินองศาการเคลื่อนตัวของตัวบ้าน ป้องกันการถล่มซ้ำ รวมถึงห้ามเคลื่อนย้ายอิฐหรือผนังที่ขวางทับกันอยู่ออก เพราะเกรงจะทำให้บ้านขยับตัว นอกจากนี้ยังได้ใช้การเจาะชนิดพิเศษ และกล้องส่อง ร่วมค้นหาผู้ติดอยู่ใต้ซากด้วย ส่วนสาเหตุของบ้านที่ถล่มยังยืนยันไม่ได้ว่าการที่เกิดเพลิงไหม้เป็นสาเหตุหลักหรือไม่ แต่เบื้องต้นยืนยันได้แน่นอนว่าเปลวเพลิงเป็นชนวนนำไปสู่การถล่ม เพราะการตรวจสอบเบื้องต้นพบค่าความร้อนไม่ต่ำกว่า 70 องศาเซลเซียส ทำให้ต้องพรมน้ำช่วยเป็นระยะ แต่จะไม่ฉีดน้ำเด็ดขาด ส่วนบ้านเรือนข้างเคียงให้อพยพชั่วคราว

จากนั้นมีข้อมูลจากนายพรเลิศ เพ็ญพาส ผู้อำนวยการเขตทวีวัฒนา ยืนยันว่าเขตกำลังตรวจสอบใบขออนุญาตและการออกเลขบ้าน เพื่อตรวจสอบว่าบ้านนี้ปลูกสร้างมาปีไหน ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นค่อนข้างหายาก เนื่องจากบ้านหลังนี้มีอายุมากกว่า 10 ปี และแจ้งเป็นลักษณะพักอาศัย แต่ทำธุรกิจในลักษณะขายอุปกรณ์ว่ายน้ำ ชุดว่ายน้ำ รวมถึงไม่พบการต่อเติมบ้าน ส่วนเจ้าของบ้านไม่อาศัยอยู่ที่นี่ ให้ลูกจ้างเฝ้า สาเหตุเชื่อว่าไม่ใช่เป็นเพราะบ้านเก่าอย่างเดียว แต่อาจมีเรื่องความร้อน การขยายตัวของเหล็ก น้ำหนักการฉีดน้ำ การก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ต้องให้พิสูจน์หลักฐาน และ วิศกรรมสถานเข้ามาตรวจสอบรายละเอียด

แต่เหตุการณ์นี้ผู้ประสบภัยที่พักอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว และสามารถรอดชีวิตออกมาได้ก่อนที่อาคารจะถล่ม ให้ข้อมูลว่า ต้นเพลิงอยู่ที่ตู้พัก รปภ.เก่า ปัจจุบันใช้เป็นห้องเก็บของ เก็บที่นอนเก่า และติดตั้งปั๊มลมสำหรับฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ซึ่งเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา แต่ส่วนตัวไม่ทราบสาเหตุการเกิดประกายไฟ เห็นเพียงว่าประกายไฟลุกลามเร็วมาก จึงรีบไปปลุกคนในบ้าน และรีบหนีตายกันออกมา พร้อมยืนยันว่าบ้านหลังดังกล่าวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ต่อเติมดัดแปลงตัวบ้านแต่อย่างใด

ส่วนนายฐิติพล คำใบใหญ่ ดับเพลิงอาสาวัดกัลยาณมิตร ฝั่งธนฯ ซึ่งเป็นชุดแรกๆ เข้าถึงที่เกิดเหตุ เล่าว่า มาถึงเวลาประมาณ 06.00 น. ก็พบเปลวเพลิงซึ่งเป็นประกายไฟสีเขียว ถือว่าเพลิงแรงมาก ซึ่งปกติไฟจะสีส้ม จึงได้ใช้น้ำฉีดขึ้นข้างบนต่อเนื่อง แต่ไฟไหม้ท่วมทั้งตึกแล้ว หากไหม้ไม่นานประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ดับไฟได้ ส่วนสิ่งของที่พบด้านในบ้านเป็นพวกไม้ ยางพลาสติก สายไฟ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทบ.​ เชิญ​ผู้ช่วยทูตทหาร รับฟังข้อเท็จจริง​ปมทุ่นระเบิดช่องบก

กองทัพบก 22 ก.ค.- ทบ.​ เชิญ​ผู้ช่วยทูตทหาร​ 47 ประเทศ​ รับฟังคำชี้แจง​สถานการณ์​ชายแดน​ไทย​-กัมพูชา​ หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ​ 3 นาย​ พบ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล​วางใหม่​ โดยมีหลายชาติ สนใจรับฟังขณะ​ พลจัตวา​ ฮอม​ คิม ผู้ช่วยทูตทหารดัมพูชา ร่วมด้วย กองบัญชาการ​กองทัพ​บก​ เชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย​ รับฟังการชี้แจงสถานการณ์​ชายแดนไทย​-กัมพูชา​ ถึงข้อเท็จจริงกรณีไทยโดนรุกล้ำอธิปไตย​ และมีการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล​ ทำให้ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย​ และมีการตรวจสอบว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่​ ที่วางในเขตไทย​ ซึ่งขัดต่ออนุสัญญา​ออตตาวา​ ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นประเทศภาคี​ที่ให้สัตยาบัน​​ บรรดาทูต​ทหาร​ ทยอยเดินทางมายังห้อง ศรีสิทธิสงคราม​ ภายในกองทัพบก ตั้งแต่เวลา​ 13.20 น.​ อาทิทูตทหารจากเวียดนาม เมียนมา อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อังกฤษ บูรไน ออสเตเรีย สหรัฐอเมริกา อินโดนิเซีย จีน กัมพูชา เยอรมันนี แคนนาดา […]

พายุวิภากระหน่ำจันทบุรี ซัดหลังคาร้านอาหารถล่ม

จันทบุรี 22 ก.ค. – พายุกระหน่ำจันทบุรี ซัดหลังคาร้านข้าวมันไก่ถล่ม กระแทกหลังแม่เจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่ภูเก็ตพายุถล่มภูเก็ต ป้ายล้ม-ต้นไม้ทับสาวจีนเสียชีวิต หลังคาร้านข้าวมันไก่ บริเวณตลาดศิริการ อ.เมือง จ.จันทบุรี ถูกพายุพัดร่วงลงมาทั้งแผง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของลูกค้าและพนักงานในร้าน เหตุดังกล่าวเกิดช่วงเที่ยงพอดี จึงมีลูกค้ามานั่งกินข้าวเต็มร้าน กระทั่งมีฝนเทลงมา ทางร้านและลูกค้าจึงช่วยกันขนย้ายโต๊ะเก้าอี้เข้าข้างในเพื่อหลบฝน ก่อนพายุจะซัดเข้ามาอย่างรุนแรง จนหลังคาถล่ม เบื้องต้นไม่มีลูกค้าได้รับบาดเจ็บ มีเพียงแม่เจ้าของร้านข้าวมันไก่อีกร้าน ที่อยู่ติดกัน ถูกหลังคากระแทกหลังได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลแล้ว พนักงานร้านข้าวมันไก่ บอกว่า ปกติบริเวณนี้มีฝนตกบ่อย หลังคาแข็งแรงดี ไม่ได้ชำรุดอะไร แต่วันนี้ ลมแรงมาก มาแบบวูบเดียว พัดหลังคาลอยขึ้นก่อนพังลงมา ทั้งนี้ลมพายุได้พัดหลังคาของตึกที่อยู่ในละแวกร้านข้าวมันไก่พังเสียหายจำนวน 15 คูหา เบื้องต้นกำลังทหารและตำรวจ ได้เข้าตรวจสอบ พร้อมให้การช่วยเหลือ ขนย้ายเศษซากหลังคาเคลียร์พื้นที่เพื่อความปลอดภัยแล้ว พายุโซนร้อนวิภาถล่มภูเก็ต ป้ายล้ม-ต้นไม้ทับสาวจีนเสียชีวิต ที่หน้าหาดเกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ หอบข้าวของวิ่งหนีลมพายุ จังหวะนั้นต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกลมพัดโค่นลงมา ในคลิปจะได้ยินเสียงคนพูดว่า “เห็นไหม คน ๆ อยู่ใต้นั้น” หลังเหตุการณ์สงบ […]

รถบรรทุกพุ่งชน จยย.พ่วงข้างรับส่ง นร. ตาย 3 เจ็บ 6

พระนครศรีอยุธยา 22 ก.ค. – สลด รถบรรทุก 6 ล้อ พุ่งชนรถจักรยานยนต์พ่วงข้างรับส่งนักเรียน มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 6 คน เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุก 6 ล้อ ทะเบียนพระนครศรีอยุธยา พุ่งชนรถจักรยานยนต์พ่วงข้างรับส่งนักเรียน โรงเรียนวัดมณฑลประสิทธิ์ ก่อนตกลงไปในร่องน้ำ บนถนนชนบทเลียบคลองระพีพัฒน์ หมู่ 5 ตำบลวังน้อย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอัดกับรั้วบ้านจนรถพังยับ มีผู้ติดอยู่ในรถ 2 คน เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้อุปกรณ์ตัดช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คนออกมา แต่ผู้โดยสารเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนคนขับบาดเจ็บสาหัส ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง สภาพรถเสียหายยับเยิน คนบนรถ 7 คน เป็นนักเรียนโรงเรียนวัดมณฑลประสิทธิ์ 6 คน ผู้ปกครอง 1 คน บาดเจ็บทั้งหมด เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาลวังน้อย และมีนักเรียน 2 คนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่มูลนิธิพุทไธสวรรย์ จุดกิตติวังน้อย […]

โฆษก ทบ. เผยนานาชาติเข้าใจไทยเคลียร์ปมทุ่นระเบิด

กองทัพบก 22 ก.ค.- โฆษก ทบ. เผยเคลียร์ปมทุ่นระเบิด นานาชาติเข้าใจไทย ขณะผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชานั่งนิ่งไม่โต้แย้ง – ให้กองทัพภาคที่ 2 ประเมินสถานการณ์หลังคนไทยนัดรวมตัวปราสาทตาเมือนธม ปลายเดือนนี้ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวภายหลังการเชิญผู้ช่วยทูตทหาร รับฟังคำชี้แจง​สถานการณ์​ชายแดน​ไทย​- กัมพูชา​ หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ​ 3 นาย​ ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ส่วนใหญ่เป็นการรับฟังและมีคำถามบ้าง ถือว่าน้อย เนื่องจากทุกท่านอาจจะได้รับข่าวสารจากช่องทางอื่นมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ที่พยายามบอกกล่าวและชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องข้อเท็จจริง พลตรีวินธัย เปิดเผยว่า ทูตทหารของกัมพูชา ไม่ได้ชี้แจงหรือมีคำถามอะไร คำถามส่วนใหญ่มาจากท่านอื่นมากกว่า ที่ถามเรื่องของความมั่นใจและยืนยันใช่หรือไม่ ซึ่งทางเรา ก็ให้เหตุผลไป และจะให้เอกสารชี้แจง ส่วนท่าทีของประเทศมหาอำนาจ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งการเชิญมาในวันนี้เราก็ทำตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก คือทำให้เป็นทางการ ส่วนการหารือได้ชี้แจงเรื่องของการละเมิด บูรณภาพดินแดน และเอ็มโอยู 2543 และอนุสัญญาออตตาวา ด้วยหรือไม่ พลตรีวินธัย ระบุว่า มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว และได้อธิบายตามหลักอนุสัญญา ที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก และเล่าถึงกลไกการแก้ไขปัญหา […]

ข่าวแนะนำ

พายุวิภาทำเชียงรายอ่วม-รพ.เทิง งดรับผู้ป่วยชั่วคราว

เชียงราย 23 ก.ค. – พายุวิภาทำ อ.เทิง จ.เชียงราย อ่วม น้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือน พื้นที่การเกษตร โรงพยาบาลเทิง ประกาศงดให้บริการผู้ป่วยทั่วไปชั่วคราว รับเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น ด้านนายอำเภอสั่งการเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือชาวบ้านขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง อพยพผู้ป่วยและผู้สูงอายุไปยังที่ปลอดภัย ฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุวิภา ทำให้น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรหลายอำเภอใน จ.เชียงราย โดยเฉพาะ อ.เทิง สถานที่ราชการ ได้แก่ สภ.เทิง ศาลจังหวัด และโรงพยาบาลเทิง เกิดน้ำท่วมขัง โรงพยาบาลต้องงดให้บริการผู้ป่วยทั่วไป รับเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์โดยทั่วไปยังมีฝนตกหนัก นายอำเภอเทิงลงพื้นที่ สั่งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือชาวบ้านขนย้ายของขึ้นที่สูง อพยพผู้ป่วยและผู้สูงอายุไปยังที่ปลอดภัย ส่วนถนนพหลโยธิน ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย น้ำป่าจากดอยโป่งพระบาทไหล่เอ่อท่วมถนนด้านขาขึ้น การสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก ภาพรวมสถานการณ์ จ.เชียงราย เบื้องต้นมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 5 อำเภอ ประชาชนเดือดร้อนประมาณ 100 ครัวเรือน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต.-สำนักข่าวไทย

มท.2 รับกังวล จ.น่าน ที่สุด เหตุ 1 ชม. น้ำขึ้น 30 ซม.

ก.มหาดไทย 23 ก.ค.-มหาดไทย ถกวอรูมติดตามสถานการณ์ “พายุวิภา” ห่วงพื้นที่เหนือ-อีสาน พื้นที่ราบเชิงเขา เสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ด้าน มท.2 กำชับพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่ม-ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เผยเตรียมลงพื้นที่เชียงราย-น่าน รับกังวลน่านที่สุด เหตุ 1 ชม. น้ำขึ้น 30 ซม. สั่ง ปภ.-กรมชลฯ เร่งสูบน้ำ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยแห่งชาติหรือ บกปภ.ช. ประชุมตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์พายุ “วิภา” โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ร่วมรับฟัง และมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เข้าร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ ได้ติดตามภาพรวมสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทั้งจังหวัดแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ให้หลายจังหวัดจากอิทธิพลพายุวิภาในที่ประชุม กล่าวว่า ได้มีการรายงานสถานการณ์เป็นรายพื้นที่ ประกอบด้วยพื้นที่ติดภูเขา ที่ราบเชิงเขา โดยให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และการตรวจสอบสภาพดินที่ได้รับการสะสมของปริมาณฝนที่ตกลงมา ซึ่งมีลักษณะอุ้มน้ำ และความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำป่าไหลหลาก […]

ฝนถล่มน่าน น้ำเริ่มท่วมหลายพื้นที่ และน้ำน่านเพิ่มขึ้นรวดเร็ว

น่าน 23 ก.ค.-อิทธิพลจากพายุวิภา ทำให้ฝนถล่มน่านอย่างหนัก ปริมาณฝนสะสมเกิน 200 มิลลิเมตร น้ำเริ่มท่วมในหลายพื้นที่ และน้ำน่านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จ.น่าน ขณะนี้ฝนตกหนักต่อเนื่องมาเกือบ 20 ชั่วโมงแล้ว และหลายพื้นที่โดยเฉพาะทางตอนเหนือวัดปริมาณฝนสะสมเกิน 200 มิลลิเมตรเกือบ 20 สถานี ส่งผลให้ระดับน้ำน่านเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยชั่วโมงละ 30 เซนติเมตร แม้ว่าระดับน้ำน่านยังต่ำกว่าตลิ่งอยู่มาก แต่ฝนที่ตกหนักติดต่อกันมาทั้งคืน โดยเฉพาะทางตอนเหนือของเมืองทั้งที่ปัว บ่อเกลือ เฉลิมพระเกียรติ ท่าวังผา และอีกหลายอำเภอ ซึ่งจากข้อมูลปริมาณน้ำฝนจากสถานีวัดของมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก ในจังหวัดน่าน เมื่อเช้านี้พบปริมาณฝนสะสมเกิน 200 มิลลิเมตรถึง 18 สถานี สูงสุดอยู่ที่สถานีต้นน้ำน้ำกอนฝั่งซ้าย ตำบลพญาแก้ว อำเภอเชียงกลาง สูงถึง 291 มิลลิเมตร นั่นทำให้บางพื้นที่ลุ่มต่ำเริ่มมีน้ำเข้าท่วมพื้นที่แล้ว อย่างที่อำเภอท่าวังผา เริ่มมีน้ำทะลักเข้ามาแล้ว รวมทั้งระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่สถานีวัดระดับน้ำ n64 บ้านผาขวาง เหนือเมืองน่านไป 30 กิโลเมตร เพิ่มเป็น 7 เมตร […]

เตือนเฝ้าระวังดินถล่มใน 21 จังหวัด แม้ “วิภา” อ่อนกำลัง

กรุงเทพฯ 23 ก.ค.-กรมทรัพยากรธรณี แจ้งเตือนให้เฝ้าระวังดินถล่มในพื้นที่ 21 จังหวัด จากผลกระทบพายุ “วิภา” แม้ขณะนี้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้ว แต่อิทธิพลของร่องมรสุมยังคงส่งผลให้หลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันตกมีฝนตกหนักต่อเนื่อง นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า กรมฯ ยังคงเปิดศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย (War Room) เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 หรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูล และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ จากการวิเคราะห์ข้อมูลฝนสะสมควบคู่กับแบบจำลองธรณีพิบัติภัย พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มกระจายอยู่ใน 21 จังหวัด ได้แก่ -ภาคเหนือ: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ตาก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย อุดรธานี หนองคาย-ภาคตะวันออก: จันทบุรี ตราด-ภาคตะวันตก: กาญจนบุรี ราชบุรี-ภาคใต้ฝั่งตะวันตก: ระนอง พังงา […]