รับศพ 4 วีรบุรุษกู้ภัยบ้านถล่มไปบำเพ็ญกุศล

กรุงเทพฯ 4 เม.ย.- รับแล้ว 4 ศพวีรบุรุษกู้ภัยที่ติดค้างอยู่ในเหตุไฟไหม้ โดยภรรยาของต้น สยามนนท์ กู้ภัยที่ถูกพบเป็นศพแรก เล่าด้วยความเศร้า มีนัดไปทำบุญกับสามี แต่สามีไม่กลับมา ส่วนแม่ยืนยันลูกชอบช่วยเหลือคน วันนี้ภูมิใจแต่พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะอีกใจก็ไม่อยากสูญเสียลูกชายไป 


ภายหลัง 25 ชั่วโมงแห่งความพยายามกู้ร่างของ 3 อาสาสมัครกู้ภัย และผู้พักอาศัย 1 คน ที่ติดค้างอยู่ในบ้านเขตทวีวัฒนา 08.25 น. คือช่วงเวลาที่ร่างของผู้เสียชีวิตรายสุดท้ายคือ นายเกียรติ แพตเตอร์สัน อายุ 35 ปี ผู้พักอาศัย ถูกนำออกมาจากตัวบ้าน ก่อนถูกนำส่งนิติเวช โรงพยาบาลศิริราช ขณะที่ก่อนหน้านี้ ที่สำนักข่าวไทยรายงานไปแล้วว่า พบร่างผู้เสียชีวิตรายแรกคือตั้งแต่ตอน 9.00 น. คือนายธนภพ ประไพ อายุ 44 ปี อาสาสมัครกู้ภัย 

ด้วยความที่ไม่ละความพยายาม เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เสียชีวิตอีก 4 คน ในช่วงเวลา 1.00 น. แต่การนำร่างออกมายังเสี่ยงต่อการทรุดตัวของบ้าน เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้มือขุดเป็นโพรง แล้วนำเครื่องตัดถ่างเข้าไปง้างเหล็กที่ทับร่างผู้เสียชีวิตให้ถ่างออก กระทั่งได้ความกว้างพอที่จะนำร่างผู้เสียชีวิตที่เป็นอาสามัครกู้ภัยออกมาได้อีก 1 คน คือ นายสุทัศน์ เปลี่ยนกลัด อายุ 38 ปี ซึ่งตอนนั้นทันทีที่นำร่างออกมาได้ ผู้ว่าฯ กทม.ที่ยังเกาะติดสถานการณ์ ได้นำธงชาติมาคลุมร่างให้อย่างสมเกียรติ ส่วนร่างผู้เสียชีวิตอีก 3 คนที่ยังคงติดค้างอยู่ภายใน ประกอบด้วย นายสมัญญา นิลธง, นายอรรถพล ท้วมทอง อาสาสมัครกู้ภัย และนายเกียรติ แพตเตอร์สัน ผู้พักอาศัย


เจ้าหน้าที่บอกว่า ติดค้างอยู่ในชั้นที่ลึกกว่าผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ ที่นำออกมาได้ และอุปสรรคสำคัญคือไม่สามารถนำเครื่องจักรหนักเข้าไปยังจุดที่กำหนดได้ เพราะมีคานปูนวางทับอยู่ ประกอบกับแผ่นปูนวางเป็นลักษณะคล้ายกับขนมชั้น วิศวกรรมสถานจึงแนะให้เพิ่มความระมัดระวังในการทำงาน เพราะห่วงว่าหากเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว อาจกระทบกับร่างผู้เสียชีวิต  

อย่างไรก็ตามหลังใช้เวลาในการวางแผนและใช้อุปกรณ์ตรวจสอบภาพจุดที่ผู้เสียชีวิตติดค้างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เจ้าหน้าที่ตัดสินใจนำรถแบ็กโฮเปิดแผ่นปูน และเวลา 06.28 น. ก็สามารถนำร่างของ 2 อาสามัครกู้ภัย นายสมัญญา นิลธง และนายอรรถพล ท้วมทอง ออกมาจากตัวบ้านได้สำเร็จ และ 08.25 น. เจ้าหน้าที่สามารถกู้ร่าง นายเกียรติ แพตเตอร์สัน ผู้เสียชีวิตที่ติดค้างรายสุดท้ายออกมาจากตัวบ้านได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งใจ และเสียใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มารอติดตามข่าวในที่เกิดเหตุ  

จากนั้นครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้เดินทางไปติดต่อที่นิติเวช โรงพยาบาลศิริราช เพื่อรับร่างกลับมาบำเพ็ญกุศล โดย 1 ในนั้น คือนางทิพา ทันปรีชา พร้อมด้วยนางสาวพัตรพิมล ศรีไพร แม่และภรรยาของนายธนภพ ประไพ อาสาสมัครกู้ภัย หรือที่ถูกเรียกขานกันว่า “ต้น สยามนนท์” โดยแม่กอดรูปถ่ายของลูกชายแนบอกอยู่ตลอดเวลาขณะรอให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิง กู้ภัย และอาสาสมัคร จัดเตรียมร่างของนายธนภพเคลื่อนย้ายที่วัดนครอินทร์ จังหวัดนนนทบุรี เพื่อบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติ  


นางทิพาเล่าว่า ลูกชายเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือสังคม ทุกครั้งที่ลูกออกปฏิบัติหน้าที่ แม่จะคอยเตือนตลอดว่าให้ดูแลตัวเอง คิดไม่ถึงวันนี้จะสูญเสียลูกชาย และพูดไม่ได้เต็มปากว่าภูมิใจที่ลูกชายเสียสละชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่น เพราะอีกใจก็ไม่อยากเสียลูกชายไป และวันเกิดเหตุแม่ก็ไปทำงาน ไม่ได้ติดตามข่าว กระทั่งมารู้จากเพื่อนว่าลูกชายจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว

ด้านนางสาวพัตรพิมล ภรรยาของนายธนพล เล่าว่า ช่วงเช้ามืดมีเจ้าหน้าที่โทรมาบอกว่ามีเหตุเพลิงไหม้สามีจึงรีบลุกออกไปทำหน้าที่และบอกว่าจะกลับมาตอน 7.00 น. เพราะนัดว่าจะไปทำบุญกัน แต่สุดท้ายสามีไม่กลับมา จากนั้นรุ่นน้องได้โทรมาสอบถามการแต่งกายของนายธนภพซึ่งใจหายมาก เพราะรุ่นน้องบอกว่า ผู้เสียขีวิตและพบศพเป็นรายแรกได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นสามีของตัวเอง เพราะที่หมวกนิรภัยมีเลข 46 ซึ่งตรงกับเลขหมวกของสามี ยอมรับว่าสามีเป็นคนรักงานกู้ภัย และเป็นคนระวังตัว มีประสบการณ์การทำงานมานาน 25 ปี แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ภูมิใจที่สามีได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง และได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ แต่ลึกๆ ก็ยอมรับว่าเสียใจที่ต้องสูญเสีย

จากนั้นครอบครัวของนายสมัชญา นิลธง, นายสุทัศน์ เปลี่ยนกลัด และนายอรรถพล ท้วมทอง อาสาสมัครกู้ภัยก็ทยอยเดินทางมารับศพไปบำเพ็ญกุศล ยกเว้นศพของ นายเกียรติ แพตเตอร์สัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุ ยังไม่มีผู้ติดต่อมารับศพ 

ขณะที่ เพจเฟซบุ๊กจิตอาสาพระราชทาน โพสต์ภาพที่มีข้อความว่า ในหลวงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ กรณีบ้าน นายอดิสรณ์ ฯ ถูกไฟไหม้และพังทลายลงมา มีผู้เสียชีวิต 5 คน และได้รับบาดเจ็บ 6 คน ดังนี้ 1.ทรงรับผู้เสียชีวิตเป็นศพในพระบรมราชานุเคราะห์ และผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์  2.ให้ติดตามการให้การช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบเหตุ หากมีเหตุขัดข้องให้ขอรับพระราชทานการช่วยเหลือในโอกาสต่อไป

ด้านเฟซบุ๊ก กองปราบปราม โพสต์รูปและข้อความส่งความเสียใจไปยังครอบครัวของอาสมัครกู้ภัยที่เสียชีวิต โดยระบุว่าจากกรณีเพลิงไหม้บ้านในเขตทวีวัฒนา ซึ่งอาคารถล่มลงมาระหว่างเจ้าหน้าที่กู้ภัย ปฏิบัติหน้าที่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย กรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน ในจำนวนนี้เป็นวีรบุรุษอาสาบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 4 คน กองบังคับการปราบปราม ขอแสดงความเสียใจกับทุกครอบครัว และขอเป็นหนึ่งกำลังใจ ยกย่องเจ้าหน้าที่ทีมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยทุกท่าน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญและเสียสละในครั้งนี้

ขณะที่นายอดิสรณ์ โสภา หรือ เอ มินเนี่ยน เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุไฟไหม้ โพสต์เฟชบุ๊กว่า “ผมขอแสดงความเสียใจ และขอสุดุดีในความกล้าหาญของเหล่าพี่ๆ อาสากู้ภัยทั้ง 4 ท่าน หลังจากนี้ผมจะพยายามหาทางช่วยดูแลครอบครัวของพวกท่านด้วยวิธีการตามแบบของผม ถ้าคิดออกแล้ว ผมขออนุญาตมาประชาสัมพันธ์ในช่องทางนี้นะครับ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ขออนุญาตให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานก่อนนะครับ ผมคงพูดมากไม่ได้ ลูกน้องที่เหลืออีก 7 คนที่อาศัยภายในบ้านเกิดเหตุปลอดภัยแล้วนะครับ อยู่โรงพยาบาลแล้ว รอรักษาตัวให้หายดีแล้วคงกลับไปทำหน้าที่เดิมๆ ที่เคยทำ ขอบพระคุณเพื่อนๆ บ้านที่ส่งกำลังใจมาให้ และพร้อมจะซัพพอร์ตผมต่อไป กราบลาดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตทุกท่าน เมื่อวานผมไปทำบุญที่วัดปากน้ำไทยในโตเกียวให้ทุกส่วนชั้นตอนในทางโลก ต้องขอเวลาสักพักนะครับ”.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ

กทม. 23 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ เฝ้าระวัง “พายุดีเปรสชัน” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน กระทบไทย 24-27 ส.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสมที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊ก ขรก.มหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน

ทำเนียบ 23 ส.ค.- โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊กข้าราชการมหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน ด้าน “เชษฐา” เป็นอธิบดี ปภ. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 ส.ค.2568 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี -สำนักข่าวไทย

จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองโกงเงินอุดหนุน ก่อนหนีกบดานลาว

22 ส.ค. – ตำรวจภูธรภาค 1 จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง โกงเงินอุดหนุน 17.6 ล้านบาท หนีกบดานลาว ก่อนจนมุมถูกจับกุมได้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระพุทธบาท, ตม.จว.หนองคาย, กกต.จว.หนองคาย ร่วมกันจับกุม นายพีระวิทย์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 นายพีระวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รับเงินอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวนประมาณ 17.6 ล้านบาท โดยไม่มีการทำหลักฐานการเบิกจ่าย ทำให้ กกต. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายพีระวิทย์ และเหรัญญิกพรรค ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.พระพุทธบาท โดยเลื่อนการเข้าให้ปากคำและแสดงหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในข้อหา […]

“ธีรรัตน์” สั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บาย 24 ชม. รับพายุคาจิกิ

กทม. 22 ส.ค.- “ธีรรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บายรับมือผลกระทบ “พายุคาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ย้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผลกระทบพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งพบว่าพื้นที่บางส่วนมีความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซาก ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ 45 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด 45 จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวมถึงกรุงเทพมหานคร กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่หากพบว่ามีความเสี่ยง ในส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ให้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำและห้ามเดินเรือทุกชนิดหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง “ให้ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

ทีมทนายวัดพระบาทน้ำพุแจงปม “หลวงพ่ออลงกต” สวมบัตร ปชช. คนตาย

ลพบุรี 24 ส.ค. – วัดพระบาทน้ำพุ ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันเลขบัตรประชาชนของ “หลวงพ่ออลงกต” ไม่ซ้ำกับ “อลงกต พลมุข” ปัดตอบปมเลขบัตรประชาชนผู้เสียชีวิต ผูกพร้อมเพย์บัญชีมูลนิธิฯ ขอไปตรวจสอบก่อน ส่วนทางคดี จับตาสัปดาห์หน้า จะมีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 1 คน วันนี้ ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี นายศุภชัย สิงคาลวานิช หัวหน้าทีมทนายความของวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นครั้งแรก โดยบอกว่าวันนี้ หลวงพ่ออลงกตไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะมาให้สัมภาษณ์ แต่ครั้งนี้มีข้อมูลมาก มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายและปัญหาที่ซับซ้อนหลายอย่าง หากตอบไปอาจกระทบต่อคดี และยืนยันว่า หลวงพ่อมีเจตนาบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือผู้ป่วย เด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งขณะนี้สังคมเข้าใจผิดในหลายเรื่อง เพราะเกิดการชี้นำของหลายเพจ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในบางสื่อ นำเรื่องมาปะติดปะต่อจนสร้างความเสียหาย ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่หลวงพ่ออลงกต สวมชื่อและเลขบัตรประชาชน “อลงกล พลมุข” ข้าราชการที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น ทีมทนาย เปิดเผยว่า หลวงพ่ออลงกต มีบัตรประชาชนของท่านเอง และนามสกุลของท่าน […]

สกัดจับขบวนการค้ามนุษย์ ลอบขนคนไทยไปเขมร

สระแก้ว 24 ส.ค. – ทหารพรานลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านกุดหิน ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สกัดจับคนไทย 10 คน ขณะลักลอบเข้ากัมพูชา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะเจ้าหน้าที่กำลังลาดตระเวนตามแนวชาย เพื่อสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายที่จะแอบลักลอบขนข้ามแดน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว (ไม่ทราบทะเบียน) และ รถยนต์เก๋ง สีดำ ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งขับผ่านเข้ามาในพื้นที่ล่อแหลม โดยรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว ได้จอดให้คนเดินลงมาจากรถ และเดินเข้าป่าไป จำนวน 6 คน ประกอบด้วย คนนำพา 1 คน และผู้ลักลอบ 5 คน โดยทั้งหมดเป็นคนไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ ส่วนรถยนต์เก๋งสีดำที่ขับตามมา เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ จึงขับหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับไว้ได้ (ห่างจากจุดแรกประมาณ 200 เมตร) จากการตรวจสอบภายในรถพบคนไทย 4 คน […]

พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใกล้ศูนย์เด็กเล็ก

อุบลราชธานี 24 ส.ค. – พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อยู่ริมสระน้ำใกล้ศูนย์เด็กเล็ก เพียง 100 เมตร จากกรณีที่กัมพูชา ยิงจรวด BM–21 เข้าใส่ชุมชน บ้านเรือนประชาชน ในฝั่งไทย จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนคนไทย เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผลกระทบจากจรวด BM–21 ต่อประชาชน คนไทย ยังคงมีอยู่ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้จากบ้านหลังหนึ่ง ในอำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 เข้ามาตกในเขตชุมชนฝั่งไทย โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น มีจรวด BM-21 ตกมาทั้งหมด 11 ลูก 2 ใน 11 ลูก ตกใส่บ้านประชาชน จนบ้านพังเสียหายทั้งหมด 2 หลัง และมี 1 […]

“มาริษ” จ่อบินเจนีวา แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี

สวีเดน 24 ส.ค.-“มาริษ” เตรียมบินเจนีวาต่อ แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี-องค์การสิทธิมนุษยชน-กาชาด ย้ำไทยรักสันติ ทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฟ้องเขมรใช้ทุ่นระเบิด-โจมตีพลเรือนไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าหลังการเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการแล้วจะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ไปชี้แจงให้กับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคีให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้ยุทธศาสตรฺของการใช้ วัตถุระเบิดสังหารบุคคน ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวาและในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สืทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (icrc )ก็ได้ออกมาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสารในการต่อสู้ โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งในโอกาสนี้ตนจะได้พบปะกับประธาน crc พอดี ซึ่งเคยพบกันที่กรุงเทพมหานครแล้ว และทางประธานทราบว่าตนจะมาเจนีวาก็สามารถมาพูดคุยกันต่อได้ ซึ่งจะได้อธิบายทั้ง 2 ประการเหล่านี้เพราะ icrc เป็นองค์กรหลักที่ดูกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสามองค์กรที่เราวางกลยุทธ์ จะเข้ามาพูดคุย ชี้แจงก็เพื่อยืนยัน ใน ท่าทีบทบาท ของประเทศไทยที่ชัดเจนว่าเราเป็นประเทศ ที่รักสันติ เราต้องการ แก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี แต่ต้องมีความจริงใจ […]