4 ก.ย. – ตำรวจ ปอศ. เตรียมขยายผลเอาผิดเต็นท์รถมือสองอู่ซ่อมรถยนต์และผู้โฆษณา หลังนำกำลังเข้าจับกุม 3 กรรมการบริษัทประกันภัยเถื่อน สร้างความเสียหายลูกค้ากว่า 500 คน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565
ตำรวจ ปอศ.ร่วมกันจับกุมนายอัศนัย อายุ 36 ปี นางสาวณัฐปภัสร์ อายุ 42 ปี และนายพัศพงศ์ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหา ในฐานความผิด “ร่วมกันเป็นผู้รับประกันภัยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
สืบเนื่องจากเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ประสานความร่วมมือมายังตำรวจสอบสวนกลาง กรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายที่ซื้อรถยนต์จากเต็นท์รถมือสองย่านบางแคและนนทบุรี โดยมีการเสนอแพคเกจที่เรียกว่า “ประกันสุขภาพรถยนต์/รับประกันคุณภาพรถยนต์มือสอง” ของ บริษัทรับทำประกันแห่งหนึ่ง เพื่อรับประกันอะไหล่รถยนต์มือสองของลูกค้า เรียกเก็บค่าเบี้ยประกัน 28,000 บาท หลังจากผู้เสียหายบางรายซื้อรถไปแล้วไม่นาน ปรากฏว่ารถเกิดอาการผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์สะดุด ระบบเกียร์มีปัญหา ระบบหัวฉีดขัดข้อง จึงได้นำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ในเครือ ปรากฏว่าบริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่รับเคลมโดยอ้างว่าราคาสูงเกินมาตรฐานและอยู่นอกเงื่อนไขความคุ้มครอง กลุ่มผู้เสียหายจึงได้เข้าร้องเรียนต่อ คปภ.

พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. ได้สั่งการให้ กก.4 บก.ปอศ. สืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว พบว่า บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี 2565 มีนายอัศนัย, นางสาวณัฐปภัสร์ และนายพัศพงศ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท มีพฤติกรรม เสนอขายแพคเกจ “ประกันสุขภาพรถยนต์/รับประกันคุณภาพรถยนต์มือสอง” ผ่านทางเต็นท์รถมือสองต่างๆ กว่า 20 เต็นท์ อ้างว่ามีอู่ในเครือข่ายกว่า 200 แห่ง เรียกเก็บเบี้ยประกันตั้งแต่ 9,000 – 100,000 บาท ให้ความคุ้มครองสูงสุด 300,000 บาท ซึ่งลักษณะการกระทำดังกล่าว เป็นการเรียกเก็บผลตอบแทน เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อันมีลักษณะเป็นการ “รับประกันภัย” ซึ่งจะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยจากการตรวจสอบไม่พบว่าบริษัทแห่งนี้ได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังพบว่าบริษัทมีการเผยแพร่คลิปโฆษณาผ่านเพจเฟซบุ๊กปรากฎคลิปชายไทยอ้างตนเป็นเจ้าของรถยนต์ นำรถยนต์ไปซ่อม โดยได้รับความคุ้มครองจากประกันสุขภาพรถยนต์ของบริษัทผู้ต้องหาโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จากการสืบสวนพบว่า ชายคนดังกล่าวมีอาชีพเป็นแมสเซ็นเจอร์ ได้รับการว่าจ้างจากนายอัศนัย ให้ถ่ายคลิปโฆษณาแลกเงินค่าจ้าง จำนวน 500 บาท โดยไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวในคลิป และไม่เคยทำประกันสุขภาพรถยนต์กับบริษัทผู้ต้องหาแต่อย่างใด
จากการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน พบเงินหมุนเวียนที่น่าเชื่อว่ามาจากการการเรียกเก็บเบี้ยประกันจากผู้เอาประกัน 259 ราย และกลุ่มเต็นท์รถคู่สัญญา จำนวน 52 ราย รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท โดยมีการโอนเงินต่อไปยังบัญชีธนาคารส่วนตัวของกรรมการทั้ง 3 ราย ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่มีการจัดการกองทุนความเสี่ยง หรือกันเงินสำรองค่าสินไหมตามหลักการดำเนินธุรกิจประกันภัย พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นคำร้องขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ในความผิดตาม พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560
ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปอศ. ได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 2 จุด ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทผู้ต้องหาอยู่ในพื้นที่ เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จนนำไปสู่การจับกุมทั้ง 3 คน พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบเต็นท์จำหน่ายรถยนต์มือสอง จำนวน 2 แห่ง ย่านบางแคและนนทบุรี ผลการตรวจค้นบริษัทผู้ต้องหาพบว่ามีที่ตั้งเป็นทาวน์โฮม ไม่มีพนักงานและการประกอบกิจการแต่อย่างใด จึงได้ตรวจยึดพยานหลักฐานและเอกสาร เช่น เอกสารการโฆษณา, ใบตรวจสภาพรถยนต์, สมุดคู่มือการเอาประกันภัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการของบริษัทผู้ต้องหา โดยน่าเชื่อว่ามีประชาชนหลงเชื่อทำกรมธรรม์ เกือบ 500 ราย อีกทั้งยังพบว่าบริษัทผู้ต้องหามีการออกใบรับรองการตรวจสภาพรถยนต์และตารางกรมธรรม์ ซึ่งโดยปกติจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการ สำนักงาน คปภ. เพื่อให้สัญญาเป็นธรรมกับคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ภายใต้หลักการประกันภัย โดยพฤติการณ์การออกกรมธรรม์ทั้งที่บริษัทไม่ได้รับอนุญาตและการโฆษณาดังกล่าว อาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าบริษัทผู้ต้องหาได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เอาประกันภัยตามกฎหมาย ซึ่งการที่บริษัทผู้ต้องหาปฏิเสธความคุ้มครองและผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้เอาประกัน เป็นประกันภัยที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริโภคในวงกว้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวกรรมการบริษัททั้ง 3 ราย นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดยรับว่าบริษัทของตนได้เปิดบริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจรับรองคุณภาพกับเต็นท์รถยนต์มือสอง รวมทั้งให้บริการซ่อมบำรุงและเซอร์วิสรถยนต์สำหรับรถจากเต็นท์รถยนต์มือสอง ส่วนรถที่มาทำประกันส่วนใหญ่จะเป็นรถญี่ปุ่นเนื่องจากอะไหล่ถูก แต่รถที่มีปัญหาเป็นรถยุโรป ที่ประกันทั่วไปไม่รับทำประกัน แต่บริษัทกลับอาศัยช่องว่างนี้รับทำประกันรถยุโรปเสียส่วนใหญ่
ด้าน พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบพยานเอกสารทุกชิ้นพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมา แม้กระทั้งตารางใบกรมธรรม์ที่เป็นส่วนสำคัญทำให้ลูกค้าเชื่อ ยืนยันว่าเป็นของปลอมทั้งหมดที่ไม่ได้รับการอนุญาตจาก คปภ. หลังจากนี้ตำรวจจะเร่งขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งอู่ซ่อมรถยนต์เต็นท์รถยนต์มือสอง รวมถึงผู้ที่รับจ้างถ่ายคลิปโฆษณาชวนเชื่อ หากมีเจตนาการฉ้อโกงประชาชนจะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด.-419- สำนักข่าวไทย