สน.บางยี่ขัน 27 พ.ค. – ผบก.น.7 ส่งมอบทองที่หล่นหาย 49 บาท มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท คืนให้ผู้เสียหาย หลังเร่งติดตามตัวคนเก็บทองหล่นไม่คืนได้ใน 6 วัน
พล.ต.ต.กัมปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผบก.น.7 พร้อมด้วย พ.ต.อ.พายัพ สมบูรณ์ ผกก.สน.บางยี่ขัน ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางยี่ขัน นายชัยพร หรือ เฮียปุ๊ เจ้าของทอง และ น.ส.ไพรินทร์ คนที่ทำกระเป๋าใส่ทองหล่นหาย ร่วมกันแถลงข่าวส่งมอบทองคำที่หล่นหาย จำนวน 49 บาท รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท คืนให้กับเจ้าของ หลังสามารถติดตามตัวคนขับรถแท็กซี่ที่เก็บกระเป๋าใส่ทองคำไว้ได้ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (27 พ.ค.)
พล.ต.ต.กัมปนาท กล่าวว่า ทาง ผกก.ได้รายงานเหตุให้ทราบตั้งแต่วันแรก เพราะมีข้อสันนิษฐานว่าอาจทำหายเอง หรือมีคนเอาไป จึงได้สั่งการให้ผู้กำกับพิสูจน์ให้ได้ว่าทองหายไปจริง หรืออยู่ที่ไหน อย่างไร ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6 วัน สามารถนำทองกลับมาคืนให้ผู้เสียหายได้ จึงต้องมาให้กำลังใจและชมเชย สน.บางยี่ขัน
พ.ต.อ.พายัพ กล่าวว่า จากเหตุทองหล่นบริเวณหน้าห้างฯ ย่านปิ่นเกล้า ตำรวจใช้เวลา 6 วัน สามารถติดตามคืนมาได้ ซึ่งตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ใช้ความพยายามในการติดตามมาโดยตลอด จนสามารถติดตามทองคำที่สูญหายมาได้ ส่วนกรณีที่ น.ส.ไพรินทร์ ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ ตนเองขอยืนยันว่า บางครั้งภาพที่เห็นกับความเป็นจริงเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งทาง น.ส.ไพรินทร์ ไม่สบายใจมา 3-4 วัน และกระทบต่อสภาพจิตใจพอสมควร วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า น.ส.ไพรินทร์ ไม่ได้เป็นคนที่กล่าวเท็จ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และทางฝ่ายสืบสวนได้ติดตามไขความกระจ่างแล้ว ทั้งนี้ ในกรณีที่เราสามารถเก็บทรัพย์ของผู้อื่นได้ ควรจะนำส่งสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อติดตามส่งมอบคืนเจ้าของ ในส่วนนี้จะไม่มีความผิด แต่หากเข้าลักษณะเดียวกับวันนี้ คือเก็บทรัพย์สินได้แล้วไม่ส่งคืน หรือมีเจตนาเพื่อเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน ก็จะมีความผิดได้
ทั้งนี้ เมื่อติดตามตัวผู้ต้องหาได้ก็จะดำเนินคดีไปตามกฎหมายในข้อหาลักทรัพย์ ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ก็ต้องดำเนินคดี เนื่องจากเป็นความผิดตามอาญาแผ่นดิน ตำรวจต้องดำเนินคดีไปตามขั้นตอน ส่วนเจ้าของทรัพย์หากไม่ติดใจก็เป็นเหตุให้บรรเทาโทษลงได้
ด้านนายชัยพร กล่าวว่า ได้นำเครื่องชั่งมาพิสูจน์ยืนยันว่าได้ทองคำครบตามน้ำหนัก 49 บาท ประกอบด้วย ทองแท่ง 9 บาท และทองรูปพรรณ 604 กรัม ทั้งนี้ ได้พูดคุยสอบถามคนขับรถแท็กซี่ว่า ทำไมเก็บทองได้แล้วถึงไม่คืน แต่เขากลับตอบมาว่า เขาไม่รู้ และไม่รู้จะคืนที่ไหน แล้วมาทราบจากตำรวจว่า ที่บ้านคนขับรถแท็กซี่ไม่มีโทรทัศน์ และบนรถไม่มีวิทยุฟัง ตนเองจึงตอบแทนเขาไม่ได้ว่า ทำไมจึงไม่นำส่งมอบคืน ส่วนการดำเนินคดีให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย ฝากถึงผู้ที่เก็บได้ หากเก็บได้ให้นำมาคืน อย่าเก็บไว้กับตัวเองเลย ขนาดตนมีรางวัลให้ แทนที่จะได้เงินไปใช้ กลับต้องถูกดำเนินคดี
นายชัยพร เปิดเผยอีกว่า ตนมีความเชื่ออยู่แล้วว่าจะได้ทรัพย์สินคืน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปกราบไหว้พระที่นับถือในจังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งหมด 3 วัด และพระทั้ง 3 วัด พูดเหมือนกันว่า จะได้ของคืนในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ จึงทำให้ตนเองมีความมั่นใจ อีกทั้งยังได้รายงานผลการติดตามหาทองอยู่ตลอด จึงทำให้ประสบความสำเร็จ หลังจากนี้ตนก็จะไปบวชแก้บน ตามที่ได้ไปบนเอาไว้ว่า หากได้ทองคืนจะบวชพระให้ 3 วัน
ด้าน น.ส.ไพรินทร์ ได้ยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ให้เบาะแสจนสามารถติดตามทองคำคืนมาได้ครบ พร้อมเปิดเผยว่า ในช่วงวันแรกตนกินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ ทั้งนี้ ยังไม่ได้พูดคุยกับคนขับรถแท็กซี่ แต่ทราบว่าเขาก็ขอโทษ วันที่ทราบว่าเริ่มมีเบาะแส ตนรู้สึกดีใจ ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลใดๆ เนื่องจากตนเองไม่ทราบมูลค่าของที่อยู่ภายใน ทราบเพียงแต่ว่าเป็นทองที่มีมูลค่าเยอะ จึงยังไม่อยากให้ข้อมูล และจะต้องรอเจ้าของทองก่อน และกลัวว่าจะไม่ได้ทองคืน ทั้งนี้ อยากจะเอาเรื่องกับคนขับรถแท็กซี่เหมือนกันที่ไม่ยอมคืน อย่างไรก็ตาม ใครทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด เพราะหากเขาไม่คืน ตนเองก็จะต้องมีความผิดเพียงคนเดึยว
จากนั้น พล.ต.ต.กัมปนาท ได้ส่งมอบทองคำคืนให้กับผู้เสียหาย โดยนายชัยพร และ น.ส.ไพรินทร์ ได้ยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถติดตามทองที่หล่นหายคืนมาได้ครบ
ต่อมาตำรวจได้คุมตัวนายสง่า คนขับรถแท็กซี่ ออกจากห้องสืบสวน เพื่อมาทำบันทึกกับพนักงานสอบสวน นายสง่าได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า อยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้หลายคนได้รับความเดือดร้อน ส่วนตนเองไม่มีเจตนาที่จะลักทรัพย์ แต่เมื่อตำรวจดำเนินคดีก็พร้อมที่จะรับโทษ โดยยืนยันว่า ตนไม่มีทีวีดู ไม่มีวิทยุฟัง จึงไม่รับรู้ข่าวสาร.-419-สำนักข่าวไทย