ร้องกองปราบฯ พ่อถูกหลอกลวงทรัพย์สิน สูญกว่า 50 ล้านบาท

กรุงเทพฯ 21 ต.ค.- ครอบครัวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร้องกองปราบฯ พ่อตกเป็นเหยื่อขบวนการหลอกลวงทรัพย์สิน สูญกว่า 50 ล้านบาท


เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (21 ต.ค.) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน กทม. ทนายความพาครอบครัวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร้องกองปราบฯ ดำเนินคดีกลุ่มบุคคลใช้กลอุบายหลอกลวงคุณพ่อวัย 75 ปี เอาทรัพย์สินเงินสด หุ้น คอนโดฯ ที่ดินอาคารพานิชย์ มูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท ร้องเพื่อให้หยุดพฤติกรรม ไม่ให้ไปหลอกลวงใครอีก

นายศุภโชค นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ พร้อมครอบครัว และนายพิทยา เพชรพลอย, นายปัจจุคมน์ เจริญรัชต์ ทนายความ เข้าร้องทุกข์ต่อกองปราบปราม เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง เพราะทางครอบครัวสงสัยว่าคุณพ่อกำลังถูกกลุ่มบุคคลที่น่าจะเป็นขบวนการเข้ามาหลอกลวง ทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปแล้วประมาณ 50 ล้านบาท


นายศุภโชค เปิดเผยว่า พ่อตนเองซึ่งปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นทนายความ และทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา คุณพ่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าสนใจจะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่คุณพ่อกำลังประกาศขาย โดยบุคคลดังกล่าวอ้างว่าตนเองมีเงินมากมาย แต่ละเดือนจะมีรายได้หลายร้อยล้านบาท และอยากมาร่วมลงทุนทำธุรกิจกับคุณพ่อ เพราะถูกชะตาและศรัทธาในความสามารถ ซึ่งคุณพ่อก็หลงเชื่อตามนั้น

หลังจากนั้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คุณพ่อก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างมาก ออกจากบ้านไปอยู่กับบุคคลดังกล่าว ไม่กลับบ้าน ลดการติดต่อกับคนในครอบครัวและขาดการพบปะเพื่อนฝูง ไม่ไปพบแพทย์ตามปกติ เลยกำหนดเป็นเวลาหลายเดือน ตนเองติดต่อไปยังบุคคลดังกล่าว เพื่อขอให้พาคุณพ่อไปหาหมอ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บุคคลนั้นพาคุณพ่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และแพทย์ออกใบรับรองแพทย์โดยระบุว่าคุณพ่อสามารถทำนิติกรรมได้

จากนั้นคุณพ่อจดทะเบียนสมรสกับบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าบุคคลนั้นได้หย่าขาดกับสามีเดิมซึ่งเป็นอดีตตำรวจ และในวันเดียวกันนั้นก็จดทะเบียนสมรสกับคุณพ่อในทันที โดยการหย่าและการจดทะเบียนสมรสนั้นเกิดขึ้นที่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร


ทางครอบครัวปรึกษากันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคุณพ่ออยู่กินกับภรรยาคนปัจจุบัน และช่วยกันทำมาหากินกันมาตั้งแต่ปี 2521 โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน แต่พอมาเจอกับบุคคลดังกล่าวไม่กี่เดือน กลับไปจดทะเบียนสมรสกัน

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลเรื่องการทำนิติกรรม ก็พบข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับทางครอบครัว เช่น มีการโอนทรัพย์สินของคุณพ่อหรือของครอบครัว เช่น หุ้น ที่ดิน และคอนโดมิเนียม โดยอ้างว่าเป็นการขายให้ลูกชายของบุคคลดังกล่าว ซึ่งครอบครัวคิดว่าอาจไม่มีการจ่ายเงินจริง หรือไม่เงินก็ถูกเอาไปจากคุณพ่อหมดแล้ว ทั้ง 3 รายการนี้ มีมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการจัดการให้คุณพ่อไปจำนองทรัพย์สินหลายรายการ โดยไม่ทราบว่าได้เงินมาจริงหรือไม่ และตอนนี้เงินไปอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งรายการทรัพย์สินเหล่านี้รวมกับเงินสดที่คุณพ่อได้มาจากการขายที่ดิน หรือค่าเช่าที่ดิน​ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รวมกันประมาณ​ 30 ล้านบาท ซึ่งครอบครัวก็เพิ่งทราบว่าบุคคลดังกล่าวมีความพยายามในการนำทรัพย์สินของคุณพ่อและครอบครัวไปขายและจำนองในราคาต่ำ

ระยะเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวก็อดทนมาตลอด แต่มาวันนี้ตนเองกับครอบครัวตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือจากกองปราบฯ​ ให้ช่วยดำเนินการค้นหาข้อเท็จจริงว่าเป็นดังเช่นที่ทางครอบครัวสงสัยหรือไม่ เพราะได้รับทราบจากข่าวว่ามีกรณีผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของบุคคลนี้ โดยมีพฤติกรรมที่คล้ายกันมาก

นายศุภโชค ยังกล่าวด้วยว่า อยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกันเตือนสังคมว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ เพราะเราไม่อยากเห็นใครไปหลงเชื่อ และต้องเกิดความเสียหายอีก พร้อมทั้งขอฝากไปถึงบุคคลภายนอกที่สุจริตว่าไม่ควรที่จะเข้ามาซื้อ หรือรับจำนองทรัพย์สินของคุณพ่อหรือของครอบครัวจากบุคคลดังกล่าว เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือ และเกิดความเสียหายหรืออาจต้องมีคดีความเกิดขึ้นในอนาคตได้

นายพิทยา ทนายความ กล่าวว่า ในส่วนของกฎหมายเราคงต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะฟันธงว่ามีลักษณะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่อย่างไรจึงต้องอาศัยการสืบสวนจากพนักงานสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน แต่ทราบว่าขณะนี้ทรัพย์สินถูกโอนไปที่ไหน อย่างไรบ้างนั้น พอจะทราบแล้ว รอเพียงการสืบสวนของตำรวจก่อน ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามรับเรื่องไว้ เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาต่อไป .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]