ไบโอเทค พัฒนาอวัยวะจำลองป้องกันไวรัสซิก้า

กทม. 19 ต.ค. 63 – ไบโอเทค สวทช. พัฒนาออร์แกนอยด์ หรือ อวัยวะจำลองมดลูกและรกใช้ศึกษาวิธียับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) นำเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงออร์แกนอยด์ (Organoid) มาสร้างและพัฒนาแบบจำลองอวัยวะสามมิติของมดลูกและรก สำหรับใช้ศึกษากลไกการติดเชื้อไวรัสซิกาในมดลูก การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกในระหว่างตั้งครรภ์รวมทั้งการทดสอบและพัฒนาสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสซิกา เพื่อการนำมาใช้ต้านทานเชื้อไวรัสซิกา และป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้จากแม่สู่ทารกในครรภ์ ปัจจุบันมีผลการศึกษายืนยันแล้วว่า เมื่อผู้หญิงมีครรภ์ได้ติดเชื้อไวรัสซิกา เชื้อไวรัสสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ ซึ่งมีผลให้ทารกมีอาการสมองเล็ก สมองไม่พัฒนา รุนแรงสุดอาจเสียชีวิตทันทีหลังกำเนิด  เห็นได้ว่าการติดเชื้อไวรัสซิกาในทารกส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศไทย และประเทศที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียาหรือวัคซีนที่สามารถจะยับยั้งการถ่ายทอดเชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ ดร.ธีรวัฒน์ วิวัฒน์พาณิชย์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ไบโอเทค กล่าวว่า ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการสร้างออร์แกนอยด์ ซึ่งเป็นกลุ่มก้อนเซลล์ที่ได้เพาะเลี้ยงแบบสามมิติจนมีลักษณะและคุณสมบัติเสมือนหรือคล้ายกับอวัยวะจริงในร่างกาย โดยนักวิจัยสามารถนำออร์แกนอยด์หรือระบบอวัยวะจำลอง มาศึกษากระบวนการทางชีวภาพต่างๆ ตั้งแต่พฤติกรรมของเซลล์ การทำงานของระบบอวัยวะของร่างกาย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบอวัยวะในร่างกาย การตอบสนองต่อฮอร์โมนหรือยา กระบวนการก่อโรคจากเชื้อต่าง ๆ และโรคทางพันธุกรรมได้ ซึ่งจุดเด่นของออร์แกนอยด์ ช่วยให้นักวิจัยสามารถทำการทดลองเพื่อศึกษาโรค และทดสอบยาในภาวะที่คล้ายคลึงกับร่างกายโดยที่ยังไม่ต้องทดสอบกับอาสาสมัครหรือคนไข้จริง ทั้งนี้ทีมวิจัยไบโอเทค และภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะพัฒนาออร์แกนอยด์ของมดลูกและรก เพื่อใช้ทดสอบและพัฒนาสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสซิกา เพื่อนำมาใช้ต้านทานเชื้อไวรัสซิกา และป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้จากแม่สู่ทารกในครรภ์ต่อไป อย่างไรโครงการนี้ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 โครงการ จาก 121 ผู้สมัครจาก 37 ประเทศ ที่ชนะ TDR Global Crowdfunding Challenge Contest ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ให้การสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตร้อน โดยทีมวิจัยได้ตั้งเป้าหมายงบประมาณในการดำเนินงานวิจัยเบื้องต้นไว้ที่ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 260,000 บาท โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการสนับสนุนโครงการสามารถร่วมบริจาคเงินให้กับโครงการได้ที่ www.experiment.com/noZika4Baby ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563

ดีอีเอสเผยยอดโพสต์หมิ่นช่วงชุมนุม 3.2 แสนเรื่อง

กรุงเทพฯ 19 ต.ค.- ดีอีเอส เปิดเผยยอดโพสต์เว็บไม่เหมาะสมช่วงชุมนุม 3.2 แสนเรื่อง รวมกว่า 1.6 ล้านข้อความ เล็งเก็บข้อมูลต่อดำเนินความผิดคนโพสต์ นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงผลการดำเนินงานของศูนย์เฝ้าระวังและติดตามเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม ตามนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมว่า ตั้งแต่ศูนย์ฯ ได้ดำเนินการเฝ้าระวังมาตั้งแต่วันที่ 13-18 ต.ค. ได้ตรวจสอบผลข้อความที่ไม่เหมาะสมจำนวนกว่าล้านข้อความ เมื่อทำการตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข้อความที่ไม่เหมาะสมจำนวน 322,990 เรื่อง จากข้อความที่ตรวจพบล่าสุด 1.6 ล้านข้อความ แบ่งเป็นทวิตเตอร์ 75,076 เรื่อง เฟซบุ๊ก 245,678 เรื่อง และเว็บบอร์ด 4,236 เรื่อง ทั้งนี้ศูนย์ฯ จะเน้นการดำเนินการกับผู้นำขึ้นข้อความบนสื่อออนไลน์คนแรกหรือผู้โพสต์คนแรกก่อนจำนวนหนึ่ง โดยพบว่ามีทั้งเป็นแกนนำกลุ่มมวลชน นักการเมืองและผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย  อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ “Pavinchachavalpongpun” และทวิตเตอร์ที่พบว่าเป็นของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ,เพจเฟซบุ๊กของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล , นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง แกนนำมวลชนรวมถึงสื่อและการรายงานสถานการณ์ทางออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ Voice TV และเพจเยาวชนปลดแอก Free Youth เข้าข่ายผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งให้ปิดกั้น […]

หัวเว่ยมั่นใจศักยภาพไทยเป็นดิจิทัลฮับ อาเซียน

กรุงเทพฯ 15 ต.ค. หัวเว้ยเชื่อชุมนุมการเมืองไม่กระทบอุตฯโทรคมนาคม แนะไทยขับเคลื่อน 3 ด้าน สู่ดิจิทัลฮับอาเซียน นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  จากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง หัวเว่ยยังมั่นใจว่าธุรกิจของบริษัทและธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน จากจุดยืนที่ชัดเจนของรัฐบาลโดยคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กระทรวงกลาโหม​เป็นประธานนั้น ต้องการเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาค และจากการที่รัฐบาลมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์​วิกฤต​โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี  ด้วยการนำประโยชน์ของเทคโนโลยี คลาวด์ และเอไอ มาใช้ประโยชน์​ จึงมั่นใจว่าประเทศจะเข้าสู่ดิจิทัล ฮับ ได้อย่างแน่นอน  “ตามหลักภูมิศาสตร์ ประเทศไทยตั้งอยู่ตรงกลางภูมิภาคอาเซียน บวกกับมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ทั้ง 3G, 4G และ 5G แล้ว ยังต้องมีความร่วมมือการทำงานกับหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคอุตสาหกรรม หากทำได้ประเทศไทยจะเป็นดิจิทัล ฮับ ได้ไม่ยาก เมื่อนั้น ธุรกิจโอทีทีจะย้ายฐานมาที่ประเทศ​“ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย กล่าว หัวเว่ยขอเสนอแนะ แนวทางขับเคลื่อนประเทศไทยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเป็นดิจิทัล 3 แนวทางคือ การมีนโยบายสนับสนุนประเทศให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นดิจิทับ อิโคโนมีโดยใช้มาตรการทางการคลังและภาษี , นำเอาเทคโนโลยี5G มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้มากขึ้น ด้วยการสนับสนุน ให้มีศูนย์ส่งเสริมการใช้ 5G หรือ 5G อินโนเวทีฟ เซ็นเตอร์ ที่ผ่านมาหัวเว่ยได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ในการตั้งศูนย์ขึ้น และการพัฒนาทักษะดิจิทัลด้าน 5G โดยเฉพาะเรื่องคลาวด์ และปัญญา​ประดิษฐ์​ (เอไอ)​ ควรมีการจัด 5G อินโนเวทีฟ โปรแกรม การแข่งขัน รวมถึงการเฟ้นหาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน  นายเติ้ง กล่าวอีกว่า ปัจจุบันดิจิทัล อีโคโนมี่ ของประเทศไทย สามารถสร้างรายได้คิดเป็นร้อยละ 10 ของผลิตภั​ณฑ์มวลรวมของประเทศ​ (จีดีพี)​ ของไทย คาดว่าในปี 2573 ประเทศไทยจะเพิ่มเป็นร้อยละ 30 มีแนวโน้ม​จะเติบโตเฉลี่ยปีร้อยลฝละ 30 ต่อปี  สำหรับเทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากนี้ ประกอบด้วย 5 เทคโนโลยี คือ 5G, เอไอ, คลาวด์, เอดจ์ คอมพิวติ้งและแอปพลิเคชัน  ประเทศไทย​เดินหน้ารูปแบบการทำงานที่ใช้เทคโนโลยี 5G หลายด้านแล้ว เช่น การทำงานกับโรงพยาบาล​ศิริราช​ การทำโครงการโรงพยาบาล​อัจฉริยะ​ เกษตร​ดิจิทัล​กับมหาวิทยาลัย​วิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง​ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการ​กิจการ​กระจาย​เสียง​ กิจการ​โทรทัศน์​ และ​กิจการ​โทรคมนาคม​แห่งชาติ​ (กสทช.)​ นำโดยนาฐากร ตั​ณ​ฑ​สิทธิ์​ อดีตเลขาธิการ​ กสทช. ดำเนินการจัดสรรคลื่นความถี่​เพื่อรองรับ​ 5G ได้แก่​ คลื่นความถี่ย่าน 700, 1800, 2600 เมกะเฮิรตซ์​ และ 26 กิกะเฮิรตซ์​ ทำให้ประเทศ​ไทยเปิดให้บริการ 5G ก่อนประเทศ​อื่นๆ ในภูมิภาค​ ส่งผลให้มีโครงสร้าง​พื้นฐาน​ 5G ที่แข็งแกร่ง​ก่อนใคร ในขณะที่​ หัวเว่ยก็จะลงทุนในประเทศ​ไทย​ต่อเนื่อง ขอย้ำประเทศไทยถือเป็นตลาดที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับหัวเว่ย และเป็นตลาดเดียวที่บริษัทนำเสนอครบทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ Carrier การให้บริการเครือข่าย 4G, Enterprise การให้บริการหน่วยงานต่างๆ, Consumers การมีสินค่ารุกตลาดคอนซูเมอร์ และ cloud & AI เพื่อให้สามารถส่งมอบอีโคซิสเต็มที่สมบูรณ์ ครอบคลุมเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างรอบด้าน และช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมอัจฉริยะได้อย่างรวดเร็วขึ้น-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสกสทช.กำชับห้ามเผยแพร่ข้อความขัดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

กรุงเทพฯ 15 ต.ค. ดีอีเอส หารือ กสทช. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซักซ้อมความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอีเอส) กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลศ และสำนักงาน กสทช. ได้เชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ (IIG) ในประเทศไทย ทุกรายร่วมประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครวันที่ 14 ตุลาคม 2563 และข้อกำหนดที่ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดรวมทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อกำหนดสำหรับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว หรือปกปิดข้อมูลการกระทำดังกล่าว นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงดีอีเอส และสำนักงาน กสทช. ขอกำชับให้ ISP และ IIG พึงระวังไม่ให้มีการดำเนินการที่อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ห้ามตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้น โดยเฉพาะในส่วนของการทำให้แพร่หลายของข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และการสนับสนุนให้มีการทำให้แพร่หลายของข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และขอให้สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงนี้อย่างเต็มที่ หากพบว่าผู้ให้บริการรายใดกระทำการที่เข้าข่ายข้างต้น อาจเป็นผลให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามกฎหมาย และสำนักงานกสทช. บังคับทางปกครองต่อ ISP และ IIG ต่อไป ซึ่งอาจเป็นผลให้มีการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้  ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงาน กสทช. ขอให้ผู้ให้บริการร่วมกันดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในช่วงนี้ด้วย โดยหากพบเห็นการกระทำใดที่ไม่เหมาะสมหรือล่อแหลมต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ขอให้ผู้ให้บริการดำเนินการสอดส่องข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ หากพบว่าไม่เหมาะสมให้แจ้งสำนักงาน กสทช. เพื่อการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป-สำนักข่าวไทย.

กสทช.กำชับโอเปอเรเตอร์ดูแลสัญญาณสื่อสารในพื้นที่ภัยพิบัติ-ประชาชนหนาแน่น

กรุงเทพฯ 14 ต.ค. กสทช. ย้ำโอเปอเรเตอร์ทุกรายดูแลคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ที่มีการใช้งานของประชาชนหนาแน่น พื้นที่เกิดภัยพิบัติ รวมทั้งทีมซ่อมบำรุงเพื่อเข้าแก้ไขกรณีเกิดเหตุขัดข้อง และเตรียมเครื่องสำรองไฟกรณีไฟฟ้าขัดข้องเพื่อให้โครงข่ายใช้งานได้ตลอดเวลา นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า วสำนักงาน กสทช. ได้กำชับโอเปอเรเตอร์ทั้ง 5 ราย ได้แก่ เอไอเอส ทรู ดีแทค แคท และทีโอที ให้ดูแลคุณภาพสัญญาณและโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนในพื้นที่ที่มีการใช้งานของประชาชนหนาแน่น และพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติให้พร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเตรียมทีมซ่อมบำรุงเพื่อเข้าแก้ไขกรณีเกิดเหตุขัดข้อง และเตรียมความพร้อมเครื่องสำรองไฟกรณีไฟฟ้าขัดข้องเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายไตรรัตน์ กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. เข้าใจถึงความจำเป็นในการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีประชาชนมีความต้องการใช้งานเป็นจำนวนมาก และกรณีเกิดภัยพิบัติ ดังนั้น หากเกิดปัญหาโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้สามารถใช้งานได้ ประชาชนสามารถโทรแจ้งเข้ามาได้ที่ กสทช. คอลเซ็นเตอร์ หมายเลข 1200 -สำนักข่าวไทย.

แอปเปิลเปิด iPhone12 รองรับเทรนด์สื่อสาร 5G

แคลฟอร์เนีย 13 ต.ค. สิ้นสุดการรอคอย แอปเปิล เปิดตัว iPhone 12 4 รุ่น ชูเทคโนโลยีรองรับ 5G  นายทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอปเปิล ประกาศเปิดตัวไอโฟน 4 รุ่นที่มาพร้อมกับคุณสมบัติรองรับการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี 5 G ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง มีความหน่วงต่ำ ใช้ตัวประมวลผล Apple A14 Bionic ออกแบบบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ประหยัดพลังงานมากขึ้น แอปเปิลมั่นใจว่า  iPhone 12 จะมีความเร็วในการประมวลผลมากกว่าสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวก่อนหน้าถึงร้อยละ 50 และด้วยการออกแบบและเลือกใช้ตัวประมวลผลใหม่ ที่จะมาพร้อมกับแมชชีนเลิร์นนิ่งจะช่วยให้การแสดงผลภาพดีขึ้น ด้วยการจดจำและวิเคราะห์การแสดงผลที่ดีกว่าเดิมร้อยละ 70  ส่วนการถ่ายภาพ iPhone 12 มากับกล้อง 2 ตัว คือ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซลขนาดรูปรับแสง f/2.4 เลนส์ระยะ 13 มม.และ Wide รูรับแสง  f/1.6 เลนส์ระยะ 26 มม. ถ่ายภาพในที่แสงน้อยและถ่ายวิดีโอได้ดีขึ้น โดย iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นคือ iPhone 12  iPhone 12 mini iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max -สำนักข่าวไทย

ดัน มข.เป็นผู้นำการศึกษาอินโดจีน

ขอนแก่น 12 ต.ค.63 – เอนก ดัน ม.ขอนแก่น เป็นผู้นำการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของอินโดจีน พร้อมยกระดับมาร์เก็ตเพลส มหาวิทยาลัยสร้างมูลค่าเพิ่ม 3 แสนล้านบาท ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) กล่าวว่า จากการประชุมเชิงนโยบายร่วมกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) จ.ขอนแก่น ระหว่างลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินงานโครงการจ้างงานประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19  และโครงการยกระดับ เศรษฐกิจและสังคมรายตําบล แบบบูรณาการ หรือโครงการ 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย โดยภาคอีสานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย ทั้งในด้านขนาดพื้นที่ จำนวนประชากร 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดของไทย และมีความสำคัญเชิงภูมิศาสตร์ที่เชื่อมต่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยมีพรมแดนติดกับลาวและกัมพูชา และอยู่ใกล้เวียดนามและจีน สำหรับประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม หรือกลุ่ม CLMV  โดยพร้อมผลักดันให้ มข. เป็นผู้นำด้านการอุดมศึกษาในภูมิภาค สอดคล้องกับความร่วมมือจากประเทศจีน ที่เห็นว่าจ.ขอนแก่น และภาคอีสานมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจาก 1.ระบบรางรถไฟจากจีนเชื่อมสู่ภาคอีสาน และ 2. การเดินทางทางอากาศ คือ เครื่องบิน จากเมืองสำคัญของจีนในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทยผ่านภาคอีสานมากกว่าภาคเหนือ  ในส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของภาคอีสาน ในการตั้งฐานทัพสหรัฐฯ เพื่ออยู่ใกล้ลาว กัมพูชา และจีน ทั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาคอีสาน ในเชิงการเมืองยุคปัจจุบัน หากอีสานขยับประเทศไทยก็เขยื้อน ขอให้มหาวิทยาลัยในภาคอีสานขยับ นำให้เกิดความภูมิใจในภาคอีสาน เป็นอีสานใหม่ที่มีคนเก่ง มีความรู้ทางวิชาการ พัฒนาประเทศไทยในอนาคต ทั้งนี้ยังมีนโยบายให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ (University as Marketplace) งบประมาณ อว. 150,000 ล้านบาท ร่วมกับกำลังซื้อของบุคลากรและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ประมาณ 150,000 ล้านบาท เป็นกำลังซื้อรวมถึง 300,000 ล้านบาท หากจัดให้มีระบบการซื้อสินค้าอย่างมีเป้าหมาย จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนานวัตกรรมได้ เช่น ให้มหาวิทยาลัยซื้อสินค้านวัตกรรมของมหาวิทยาลัย ขณะที่ อว.ยังมีหน่วยงานวิทยาศาสตร์ มีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น เครื่องฉายแสงซินโครตรอน เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ สามารถใช้เป็นจุดดึงดูดคนเก่งทั่วโลกให้มาทำงานในประเทศไทย 

พัฒนานวัตกรรมระบบขนส่งทางน้ำ

กทม. 12 ต.ค.63-จิสด้า จับมือกรมเจ้าท่า ร่วมพัฒนานวัตกรรมระบบขนส่งทางน้ำ ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ กระทรวง อว. กรมเจ้าท่า และกระทรวงคมนาคม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ และพัฒนานวัตกรรมในการกํากับดูแลและพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำ ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อร่วมมือกันในการศึกษา พัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อนำมาใช้ในการกำกับดูแลและพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำณ ท่าเทียบเรือกรมเจ้าท่า กรมเจ้าท่า เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า GISTDA และกรมเจ้าท่า จะนำความเชี่ยวชาญด้านบุคลากรและเทคโนโลยี นวัตกรรม นำเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาใช้ เพื่อการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ในด้านการบริหารจัดการขยะและมลพิษทางน้ำ ,ด้านการบริหารการกัดเซาะชายฝั่ง ,ด้านการกำกับดูแลการรุกล้ำลำน้ำ ,ด้านการบริการจัดการผักตบชวา  เป็นการส่งเสริมภารกิจทางด้านการกำกับและดูแลระบบขนส่งทางน้ำ และสร้างทักษะองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพของการทำงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับประเทศ นายวิทยา  ยาม่วง  อธิบดีกรมเจ้าท่า  กล่าวว่า กรมเจ้าท่า มีภารกิจกี่ยวกับการกํากับดูแล การส่งเสริม การพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำและการพาณิชยนาวี ให้มีการเชื่อมต่อกับระบการขนส่งอื่น ๆ ทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าท่าเรือ อู่เรือ กองเรือไทยและกิจการเกี่ยวเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว ทั่วถึง และปลอดภัย ตลอดจนการสนับสนุนภาคการส่งออกให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งการลงนามร่วมกันในครั้งนี้ กรมเจ้าท่า ได้เล็งเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาบูรณาการร่วมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภารกิจ พร้อมทั้งจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและการบริการด้านคมนาคมขนส่งทางน้ำ ส่งเสริมองค์ความรู้ตลอดจนทักษะทางด้านการบริหารจัดการน่านน้ำ ได้อย่างเหมาะสม ควบคู่กับการยกระดับความปลอดภัยและความมั่นคงด้านการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีขอประเทศไทยต่อไป

ซิสโก้เผยผลสำรวจพนักงานกลัวการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ

กรุงเทพผฯ 13 ต.ค.-ซิสโก้เผยผลการสำรวจทั่วโลกชี้ พนักงานไม่มั่นใจในการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ วอนต้องการแพลตฟอร์มการประชุมผ่านวิดีโอที่ดีกว่าเดิม นายจีทู พาเทล รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจซีเคียวริตี้และแอพพลิเคชั่นของซิสโก้ กล่าวว่า การทำงานในอนาคตจะมีลักษณะเป็นแบบผสมผสานหรือไฮบริด โดยพนักงานจะทำงานจากที่บ้านและในออฟฟิศในระดับที่แตกต่างหลากหลายกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ทำอยู่  พันธกิจของเราคือการทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Webex ดีกว่า 10 เท่า และเมื่อพนักงานต้องพบปะพูดคุยกันโดยตรง Webex ก็จะทำให้การพูดคุยกันนั้นดีกว่าเดิม 10 เท่า โดยอาศัยอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่รองรับการทำงานร่วมกันและมีการบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนนวัตกรรมที่เราเปิดตัวในวันนี้นับเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญสำหรับการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งจะรองรับการทำงานนอกสถานที่อย่างปลอดภัย และมอบประสบการณ์การทำงานแบบผสมผสานอย่างชาญฉลาด เพื่อให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย นายพาเทล กล่าวอีกว่า จากการทำสำรวจความคิดเห็นพนักงานทั่วโลกพบว่าพนักงานร้อยละ 95 รู้สึกไม่สบายใจที่จะกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศอีกครั้งเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังคงไม่แน่นอน ร้อยละ 98 คาดหวังว่าในการประชุมครั้งต่อไป ควรจะอนุญาตให้พนักงานเข้าร่วมการประชุมจากที่บ้าน และ ร้อยละ 53  ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนพื้นที่สำนักงานให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ขณะที่ร้อยละ 96 ต้องการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน จากสถานการณ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการทำงานร่วมกันของซิสโก้จึงได้พัฒนานวัตกรรมที่รองรับการทำงานทั้งในออฟฟิศและนอกสถานที่ เพื่อช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถฟันฝ่าวิกฤตในช่วงปีนี้และในอนาคต  โดยจะสร้างประสบการณ์การประชุมที่ดีขึ้น 10 เท่า เมื่อผลการสำรวจระบุว่าพนักงานจะยังคงทำงานจากที่บ้านอย่างน้อยเดือนละ 8 วัน จำเป็นที่บริษัทจะต้องปรับปรุงประสบการณ์ด้านการประชุมผ่านวิดีโอ แพลตฟอร์ม Webex ประกอบด้วยฟีเจอร์ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ทั้งก่อนหน้า ระหว่าง และภายหลังการประชุม เป็นการปรากฏตัวในแบบที่ต้องการ ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอก่อนเข้าห้องประชุมอีกต่อไป และสามารถใช้เวลาไปกับการปรับแต่งลักษณะที่คุณจะปรากฏตัวในการประชุม โดยสามารถได้ขยายมุมมองให้กว้างขึ้นเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉากหลังหรือแบ็คกราวด์ของคุณจะมีลักษณะเป็นอย่างไร หรือคุณอาจเลือกใช้แบ็คกราวด์แบบเสมือนจริงก็ได้ ซึ่งเราได้เพิ่มเติมตัวเลือกมากมายสำหรับส่วนนี้เช่นกัน ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาวิธี จัดวางส่วนควบคุมไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยไม่ปิดทับเนื้อหาข้อมูลที่ใช้งานร่วมกันหรือภาพวิดีโอ และมีการปรับเปลี่ยนตามขนาดหน้าจอถ้าต้องการสนทนากับใครบางคนแค่วางเมาส์ไว้เหนือภาพคนคนนั้น หรือถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงระบบเสียง ปรับแต่งตามใจ สามารถสั่งให้ Webex ซ่อนผู้เข้าร่วมที่ไม่แสดงภาพวิดีโอตัดเสียงรบกวนรอบข้าง และเสียงรบกวน มีเซ็นเซอร์ตรวจจับสภาพแวดล้อมในอุปกรณ์ Webexซิสโก้เป็นผู้บุกเบิกการใช้เซ็นเซอร์ในอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานร่วมกัน โดยจัดหาข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานให้แก่ผู้ใช้ ฝ่ายไอที และผู้เชี่ยวชาญด้าน เพื่อให้สถานที่ทำงานปลอดภัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น การตรวจสอบพื้นที่ทำงานอย่างรวดเร็วตามข้อกำหนดด้านสภาพแวดล้อมจะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงคุณภาพของการประชุม สำหรับผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งคนที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศและคนที่ทำงานจากที่บ้าน-สำนักข่าวไทย.

1 20 21 22 23 24 51
...