ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : โรคไข้หูดับ

ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และหูไม่ได้ยิน อาจเป็นไข้หูดับ และไข้หูดับเกิดจากสาเหตุใด จะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พลตรีหญิง รศ.พญ.ปริยนันทน์ จารุจินดา รองประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์แห่งประเทศไทย โรคไข้หูดับ (โรคหูดับ) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สเตร็ปโทค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis infection) เรียก “ไข้หูดับ” เพราะผู้ติดเชื้อ “หูดับถาวร” และมีปัญหาการทรงตัว มีบางรายติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตด้วย ในประเทศไทย มีอัตราการติดเชื้อ Streptococcus suis infection ค่อนข้างสูง ประชากรในภาคอีสาน และภาคเหนือ มีอัตราการติดเชื้อ Streptococcus suis infection สูงมากกว่าภูมิภาคอื่น เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินและเมนูอาหารที่กิน จึงเป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง สาเหตุของโรคไข้หูดับ “โรคไข้หูดับ” มีสาเหตุจาก กินเลือดหมูดิบ กินเนื้อหมูดิบ ที่มีการระบาดของเชื้อ Streptococcus suis infection ในฟาร์มหมูที่เลี้ยงไม่ถูกสุขลักษณะ นอกจากกินหมูดิบแล้ว การสัมผัสเลือดหมูที่มีเชื้อ […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : 5 สูตรรักษาฝ้า ด้วยน้ำมะนาว จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์แนะนำ 5 สูตรรักษาฝ้าด้วยมะนาว ให้ผิวขาวใส เพียงทาทิ้งไว้ 15-20 นาที จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับ 5 สูตรรักษาฝ้าด้วยมะนาว โอกาสได้ผลกับฝ้าค่อนข้างน้อย ใช้แล้วน่าจะเกิดผลเสียมากกว่า สูตรที่ 1 : น้ำมะนาวเพียว ๆ คั้นสดทาที่ฝ้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันนาน 1 เดือน ? การใช้น้ำมะนาว หรือผลไม้บางอย่างที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบน ๆ ที่มีสีของฝ้า ถูกเร่งตัวให้มีการผลัดออกไป จากนั้นผิวใหม่ที่ไม่มีฝ้าข้างใต้จะค่อย ๆ ถูกดันขึ้นมา จะมองเห็นว่าผิวบริเวณนั้นขาว หรือสีฝ้าจางลงได้ มะนาว หรือกรดผลไม้อาจจะทำให้ฝ้าจางลงได้ชั่วคราว และฝ้าก็ขึ้นมาใหม่อีกได้ วิธีนี้ทาด้วยน้ำมะนาว ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. ความเข้มข้นของ “กรด” ในน้ำมะนาว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: กาเฟอีนในชานมไข่มุก 1 แก้ว = กาแฟ 4 แก้ว จริงหรือ?

07 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากกาเฟอีนปริมาณสูงที่อยู่ในชานมไข่มุก 1 แก้วมีปริมาณกาเฟอีนเท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว หรือเท่ากับปริมาณกาเฟอีนที่อยู่เครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง บทสรุป : 1.ปริมาณกาเฟอีนขึ้นอยู่กับชนิดของชา ชาแดงมีกาเฟอีนสูงที่สุด ชาเขียวมีกาเฟอีนน้อยที่สุด2.ยิ่งใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงเท่าไหร่หรือใช้เวลาชงชานานเท่าไหร่ จะทำให้ชามีกาเฟอีนเพิ่มขึ้นเท่านั้น3.เทียบในปริมาณเท่ากัน ชามีกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังอย่างมาก4.ผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม5.เด็กไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 100 มิลลิกรัม FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การระบุว่าชามีปริมาณกาเฟอีนเท่าใด ต้องพิจารณาทั้งชนิดของใบชาและวิธีการชงชา แต่กระนั้นการอ้างว่าชานมไข่มุก 1 แก้วมีกาเฟอีนเท่ากับกาแฟ 4 แก้ว และเครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง เป็นการอ้างที่เกินกว่าความเป็นจริง ระดับกาเฟอีนจากชนิดของใบชา ระดับกาเฟอีนของชาชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเวลาในการเก็บเกี่ยวและระดับการออกซิเดชันของใบชา เมื่อเทียบชาแต่ละชนิดในปริมาณที่เท่ากัน (237 ml) […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุก ไม่มีนมผสม+ไขมันทรานส์ จริงหรือ?

06 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกทุกวันนี้มีแต่อันตราย เพราะนอกจากจะไม่มีส่วนผสมของชาแล้ว ยังมีการใช้ครีมเทียมมาชงแทนนมซึ่งเป็นอันตราย เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดหัวใจ บทสรุป : 1.ชานมไข่มุกมีทั้งสูตรที่ชงด้วยนมสดและสูตรที่ชงด้วยครีมเทียม2.หลังปี 2018 มีการปรับปรุงการผลิตครีมเทียมไม่มีเกิดไขมันทรานส์แล้ว3.แม้จะไม่ใช่แหล่งไขมันทรานส์ แต่การดื่มชานมไข่มุกผสมครีมเทียมมาก ๆ เป็นการสะสมไขมันอิ่มตัวในร่างกาย4.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันเกิน 30%5.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันอิ่มตัวเกิน 10%6.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันทรานส์เกิน 1% FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความเชื่อดังกล่าว เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโทษของการบริโภคครีมเทียมในอดีต เพราะในปัจจุบันหลายประเทศมีข้อบังคับการผลิตครีมเทียมโดยแทบไม่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบอีกต่อไป สาเหตุการเกิดไขมันทรานส์จากการผลิตครีมเทียม ครีมเทียม (Non-Dairy Creamer) คือผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากนมโคที่ผลิตจากไขมันพืช เช่นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม นอกจากเพิ่มอรรถรสให้เครื่องดื่มแล้ว ยังเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่แพ้นมวัว และยังมีราคาถูกกว่าครีมจากนมโคอีกด้วย แต่เดิมการผลิตครีมเทียมจะมีการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oil) ทำให้คุณสมบัติของไขมันในครีมเทียมเปลี่ยนจากกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวกลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว […]

ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : จัดกระดูก

การรักษาโรคด้วยการ “จัดกระดูก” มีกลุ่มใดบ้าง และจากมุมมองของแพทย์ มีอะไรที่ต้องระวัง ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ นพ.สุธี เหล่าโกเมนย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบัน พบว่าการ “จัดกระดูก” รักษาโรคในประเทศไทยมีด้วยกัน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. นักกายภาพบำบัด (Physical therapist) ผู้ที่ได้รับการศึกษาเฉพาะทางด้านการทำกายภาพบำบัด เช่น กายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา พยาธิวิทยา ประสาทวิทยา และการทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยภาวะต่าง ๆ 2. ไคโรแพรกเตอร์ (Chiropractor) หรือ “นักไคโรแพรกติก” ใช้หลักการของไคโรแพรกติกซึ่งเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกของตะวันตกที่เน้นการรักษาโดยใช้มือและเทคนิคอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงานของโครงสร้างร่างกาย 3. แพทย์แผนไทย ผู้ที่เรียนรู้ภูมิปัญญาการนวดไทยสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มเรียนรู้การจัดกระดูกตามแนวทางของตนเองเพื่อการบำบัดรักษาโรค และ/หรือ อาการที่เกิดขึ้นกับกระดูกและข้อ การจัดกระดูก ดีหรือไม่ ? ตอบไม่ได้ว่า “จัดกระดูก” ดีหรือไม่ แต่แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อหลายก็มีคำอธิบายที่แตกต่างกัน […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ดื่มน้ำมะพร้าว สมองบวม เสียชีวิต จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข่าวที่มีคนดื่มน้ำมะพร้าวเพียงอึกเดียว เกิดอาการสมองบวม และเสียชีวิตใน 26 ชั่วโมง จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.นพ.ดร.นพพร อภิวัฒนากุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และมีรายงานผลชันสูตรโรคในวารสารทางการแพทย์ของต่างประเทศด้วย ข้อมูลจากข่าวที่แชร์กันระบุว่า ชายชาวเดนมาร์ก วัย 69 ปี ดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปเพียงเล็กน้อยโดยใช้หลอดดูด ก่อนจะหยุดเนื่องจากพบว่าน้ำมะพร้าว “มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ” น้ำมะพร้าวที่ดื่มมีการเจาะรูและเสียบหลอด โดยตั้งทิ้งไว้ ณ อุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน 1 เดือน ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตขึ้นมาจำนวนหนึ่ง สามารถผลิตสารพิษออกมาได้ ถึงแม้จะดื่มเพียงอึกเดียวก็เกิดอาการรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้ อะไรคือสาเหตุการเสียชีวิต ถึงแม้จะดื่มน้ำมะพร้าวเพียงอึกเดียว ? เนื่องจากน้ำมะพร้าวที่ดื่มมีการเจาะรูตั้งทิ้งไว้ ณ อุณหภูมิห้อง ทำให้เชื้อรา Arthrinium saccharicola ที่ปนเปื้อนในน้ำมะพร้าวเจริญเติบโตขึ้นมาผลิตสารพิษ กรด 3-ไนโทรโพรพิโอนิก (3-NPA) หรือ 3-Nitropropionic Acid : 3-NPA จากการชันสูตรพบว่าสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตเพราะได้รับสารพิษ “กรด 3-ไนโทรโพรพิโอนิก” […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที จริงหรือ?

04 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที บทสรุป : 1.เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงเหมือนเดิม2.การหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากหยุดใช้ยาแล้ว ความดันโลหิตจะไม่กลับมาสูงอีกครั้ง ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ย้ำว่า ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่อยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันไม่ใช่การรักษา แต่เป็นแค่การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติเท่านั้น เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตก็จะกลับมาสูงอีกเหมือนเดิม อันตรายจากการหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงได้ เช่น หลอดเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำการใช้ยาลดความดันอย่างปลอดภัย 4 ข้อ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ?

02 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ? บทสรุป : 1.สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้2.การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การได้รับยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ไม่ได้หมายความว่าการออกกำลังกายหรือการงดอาหารทำร้ายสุขภาพจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ชี้แจงว่า ไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการกินอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพราะเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจจากความดันโลหิตสูงที่ดีที่สุด เหตุผลที่แพทย์จ่ายยาลดความดันเป็นเพราะวินิจฉัยแล้วว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเอื้อประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งสองทาง เช่นในกรณีผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันชนิด ACE inhibitors ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดตีบและช่วยให้หัวใจทำงานหนักลดลง […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% จริงหรือ?

01 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% บทสรุป : 1.โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็มเท่านั้น2.ในอาหารปรุงสำเร็จต่าง ๆ รวมถึงขนมที่ใช้ผงฟูล้วนอุดมไปด้วยโซเดียมปริมาณสูง3.การคุมอาหารแบบ DASH ช่วยลดความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เกลือ หรือ โซเดียมคลอไรด์ ส่งผลต่อความดันโลหิต เมื่อร่างกายต้องเพิ่มปริมาณน้ำในหลอดเลือดมากกว่าปกติเพื่อเจือจางโซเดียมในกระแสเลือด นอกจากนี้ เกลือยังทำให้หลอดเลือดหดตัวในระยะยาวอีกด้วย อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดความดันโลหิตสูงอย่างชัดเจน สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (AHA) แนะนำให้บริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 4 ช้อนชา และแนะนำให้ผู้สูงอายุบริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม ขณะที่ผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 3,400 มิลลิกรัม ส่วนคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 4,300 มิลลิกรัม โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็ม […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ดื่ม “ชาไทย” อย่างไร ปลอดภัยSunset yellow FCF

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์เตือนว่า “เครื่องดื่มชาไทย มีการใส่สีสังเคราะห์ หากดื่มมาก อาจเสี่ยงอันตราย” จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.กฤษกมล ณ จอม อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การตรวจสอบ “ชาไทย” ด้วยตนเอง จากเครื่องมือชั้นสูงของภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร พบว่า ชาไทยทุกยี่ห้อใส่สี Sunset yellow FCF หรือ “สีเหลืองพระอาทิตย์ตก” การใส่สี Sunset Yellow FCF ในอาหารและเครื่องดื่มไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ร่างกายสามารถขับออกได้ ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้ใช้ Sunset Yellow FCF ในอาหารและเครื่องดื่มได้ โดยระบุว่าชาที่ใส่สีจะถูกนับเป็นประเภทชาปรุงสำเร็จที่ปรุงแต่งสีกลิ่นรส กฎหมายอนุญาตให้ใส่สีผสมอาหาร Sunset Yellow FCF ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม องค์การอนามัยโลก (WHO) ถือว่าสี Sunset Yellow FCF […]

ชัวร์ก่อนแชร์: โรคความดันจากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ จริงหรือ?

31 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : โรคความดันจากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ บทสรุป : การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยชะลอหรือบรรเทาความรุนแรงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เอกสาร Family History and High Blood Pressure ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 1 รายที่มีประวัติป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนอายุ 60 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า แต่กระนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ช่วยชะลอหรือบรรเทาความรุนแรงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การควบคุมน้ำหนักตัว ออกกำลังกายบ่อย ๆ ไม่สูบบุหรี่ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากจะช่วยให้การเกิดโรคความดันโลหิตสูงช้าลงแล้ว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง จริงหรือ?

30 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง บทสรุป : 1.ในช่วงวัยกลางคนจะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง2.แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงความดันโลหิตสูงในผู้หญิงจะเริ่มมากกว่าผู้ชาย FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แม้ปกติแล้ว ในช่วงวัยกลางคนจะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงความดันโลหิตสูงในผู้หญิงจะเริ่มมากกว่าผู้ชาย ศาสตราจารย์ แอนเจลา มาส์ ผู้อำนวยการกิตติคุณโครงการสุขภาพหัวใจสตรี ศูนย์การแพทย์ Radboud University Medical Center ประเทศเนเธอร์แลนด์ อธิบายว่า ความเข้าใจผิดมาจากในช่วงอายุก่อน 50 ปี จะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่ผู้หญิงจะเริ่มมีปัญหาความดันโลหิตสูงหลังหมดประจำเดือน ดังนั้นจึงเริ่มพบผู้หญิงป่วยเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ชายหลังอายุ 65 ปีขึ้นไป บ่อยครั้งที่ความเชื่อว่าความดันโลหิตสูงเกิดกับผู้ชายมากกว่า ทำให้ผู้หญิงหลายคนมองข้ามว่า อาการผิดปกติของร่างกายเกิดจากภาวะหมดประจำเดือน ความกังวล หรือความเครียด เช่น อาการใจสั่น เจ็บหน้าอก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย […]

1 2 3 4 5 6 154
...