ชัวร์ก่อนแชร์ : 5 สูตรรักษาฝ้า ด้วยน้ำมะนาว จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์แนะนำ 5 สูตรรักษาฝ้าด้วยมะนาว ให้ผิวขาวใส เพียงทาทิ้งไว้ 15-20 นาที จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับ 5 สูตรรักษาฝ้าด้วยมะนาว โอกาสได้ผลกับฝ้าค่อนข้างน้อย ใช้แล้วน่าจะเกิดผลเสียมากกว่า สูตรที่ 1 : น้ำมะนาวเพียว ๆ คั้นสดทาที่ฝ้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันนาน 1 เดือน ? การใช้น้ำมะนาว หรือผลไม้บางอย่างที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบน ๆ ที่มีสีของฝ้า ถูกเร่งตัวให้มีการผลัดออกไป จากนั้นผิวใหม่ที่ไม่มีฝ้าข้างใต้จะค่อย ๆ ถูกดันขึ้นมา จะมองเห็นว่าผิวบริเวณนั้นขาว หรือสีฝ้าจางลงได้ มะนาว หรือกรดผลไม้อาจจะทำให้ฝ้าจางลงได้ชั่วคราว และฝ้าก็ขึ้นมาใหม่อีกได้ วิธีนี้ทาด้วยน้ำมะนาว ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. ความเข้มข้นของ “กรด” ในน้ำมะนาว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: กาเฟอีนในชานมไข่มุก 1 แก้ว = กาแฟ 4 แก้ว จริงหรือ?

07 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากกาเฟอีนปริมาณสูงที่อยู่ในชานมไข่มุก 1 แก้วมีปริมาณกาเฟอีนเท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว หรือเท่ากับปริมาณกาเฟอีนที่อยู่เครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง บทสรุป : 1.ปริมาณกาเฟอีนขึ้นอยู่กับชนิดของชา ชาแดงมีกาเฟอีนสูงที่สุด ชาเขียวมีกาเฟอีนน้อยที่สุด2.ยิ่งใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงเท่าไหร่หรือใช้เวลาชงชานานเท่าไหร่ จะทำให้ชามีกาเฟอีนเพิ่มขึ้นเท่านั้น3.เทียบในปริมาณเท่ากัน ชามีกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังอย่างมาก4.ผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม5.เด็กไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 100 มิลลิกรัม FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การระบุว่าชามีปริมาณกาเฟอีนเท่าใด ต้องพิจารณาทั้งชนิดของใบชาและวิธีการชงชา แต่กระนั้นการอ้างว่าชานมไข่มุก 1 แก้วมีกาเฟอีนเท่ากับกาแฟ 4 แก้ว และเครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง เป็นการอ้างที่เกินกว่าความเป็นจริง ระดับกาเฟอีนจากชนิดของใบชา ระดับกาเฟอีนของชาชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเวลาในการเก็บเกี่ยวและระดับการออกซิเดชันของใบชา เมื่อเทียบชาแต่ละชนิดในปริมาณที่เท่ากัน (237 ml) […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุก ไม่มีนมผสม+ไขมันทรานส์ จริงหรือ?

06 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกทุกวันนี้มีแต่อันตราย เพราะนอกจากจะไม่มีส่วนผสมของชาแล้ว ยังมีการใช้ครีมเทียมมาชงแทนนมซึ่งเป็นอันตราย เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดหัวใจ บทสรุป : 1.ชานมไข่มุกมีทั้งสูตรที่ชงด้วยนมสดและสูตรที่ชงด้วยครีมเทียม2.หลังปี 2018 มีการปรับปรุงการผลิตครีมเทียมไม่มีเกิดไขมันทรานส์แล้ว3.แม้จะไม่ใช่แหล่งไขมันทรานส์ แต่การดื่มชานมไข่มุกผสมครีมเทียมมาก ๆ เป็นการสะสมไขมันอิ่มตัวในร่างกาย4.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันเกิน 30%5.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันอิ่มตัวเกิน 10%6.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันทรานส์เกิน 1% FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความเชื่อดังกล่าว เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโทษของการบริโภคครีมเทียมในอดีต เพราะในปัจจุบันหลายประเทศมีข้อบังคับการผลิตครีมเทียมโดยแทบไม่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบอีกต่อไป สาเหตุการเกิดไขมันทรานส์จากการผลิตครีมเทียม ครีมเทียม (Non-Dairy Creamer) คือผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากนมโคที่ผลิตจากไขมันพืช เช่นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม นอกจากเพิ่มอรรถรสให้เครื่องดื่มแล้ว ยังเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่แพ้นมวัว และยังมีราคาถูกกว่าครีมจากนมโคอีกด้วย แต่เดิมการผลิตครีมเทียมจะมีการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oil) ทำให้คุณสมบัติของไขมันในครีมเทียมเปลี่ยนจากกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวกลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว […]

ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : จัดกระดูก

การรักษาโรคด้วยการ “จัดกระดูก” มีกลุ่มใดบ้าง และจากมุมมองของแพทย์ มีอะไรที่ต้องระวัง ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ นพ.สุธี เหล่าโกเมนย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบัน พบว่าการ “จัดกระดูก” รักษาโรคในประเทศไทยมีด้วยกัน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. นักกายภาพบำบัด (Physical therapist) ผู้ที่ได้รับการศึกษาเฉพาะทางด้านการทำกายภาพบำบัด เช่น กายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา พยาธิวิทยา ประสาทวิทยา และการทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยภาวะต่าง ๆ 2. ไคโรแพรกเตอร์ (Chiropractor) หรือ “นักไคโรแพรกติก” ใช้หลักการของไคโรแพรกติกซึ่งเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกของตะวันตกที่เน้นการรักษาโดยใช้มือและเทคนิคอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงานของโครงสร้างร่างกาย 3. แพทย์แผนไทย ผู้ที่เรียนรู้ภูมิปัญญาการนวดไทยสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มเรียนรู้การจัดกระดูกตามแนวทางของตนเองเพื่อการบำบัดรักษาโรค และ/หรือ อาการที่เกิดขึ้นกับกระดูกและข้อ การจัดกระดูก ดีหรือไม่ ? ตอบไม่ได้ว่า “จัดกระดูก” ดีหรือไม่ แต่แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อหลายก็มีคำอธิบายที่แตกต่างกัน […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ดื่มน้ำมะพร้าว สมองบวม เสียชีวิต จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข่าวที่มีคนดื่มน้ำมะพร้าวเพียงอึกเดียว เกิดอาการสมองบวม และเสียชีวิตใน 26 ชั่วโมง จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.นพ.ดร.นพพร อภิวัฒนากุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และมีรายงานผลชันสูตรโรคในวารสารทางการแพทย์ของต่างประเทศด้วย ข้อมูลจากข่าวที่แชร์กันระบุว่า ชายชาวเดนมาร์ก วัย 69 ปี ดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปเพียงเล็กน้อยโดยใช้หลอดดูด ก่อนจะหยุดเนื่องจากพบว่าน้ำมะพร้าว “มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ” น้ำมะพร้าวที่ดื่มมีการเจาะรูและเสียบหลอด โดยตั้งทิ้งไว้ ณ อุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน 1 เดือน ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตขึ้นมาจำนวนหนึ่ง สามารถผลิตสารพิษออกมาได้ ถึงแม้จะดื่มเพียงอึกเดียวก็เกิดอาการรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้ อะไรคือสาเหตุการเสียชีวิต ถึงแม้จะดื่มน้ำมะพร้าวเพียงอึกเดียว ? เนื่องจากน้ำมะพร้าวที่ดื่มมีการเจาะรูตั้งทิ้งไว้ ณ อุณหภูมิห้อง ทำให้เชื้อรา Arthrinium saccharicola ที่ปนเปื้อนในน้ำมะพร้าวเจริญเติบโตขึ้นมาผลิตสารพิษ กรด 3-ไนโทรโพรพิโอนิก (3-NPA) หรือ 3-Nitropropionic Acid : 3-NPA จากการชันสูตรพบว่าสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตเพราะได้รับสารพิษ “กรด 3-ไนโทรโพรพิโอนิก” […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที จริงหรือ?

04 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที บทสรุป : 1.เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงเหมือนเดิม2.การหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากหยุดใช้ยาแล้ว ความดันโลหิตจะไม่กลับมาสูงอีกครั้ง ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ย้ำว่า ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่อยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันไม่ใช่การรักษา แต่เป็นแค่การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติเท่านั้น เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตก็จะกลับมาสูงอีกเหมือนเดิม อันตรายจากการหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงได้ เช่น หลอดเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำการใช้ยาลดความดันอย่างปลอดภัย 4 ข้อ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ?

02 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ? บทสรุป : 1.สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้2.การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การได้รับยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ไม่ได้หมายความว่าการออกกำลังกายหรือการงดอาหารทำร้ายสุขภาพจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ชี้แจงว่า ไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการกินอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพราะเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจจากความดันโลหิตสูงที่ดีที่สุด เหตุผลที่แพทย์จ่ายยาลดความดันเป็นเพราะวินิจฉัยแล้วว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเอื้อประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งสองทาง เช่นในกรณีผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันชนิด ACE inhibitors ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดตีบและช่วยให้หัวใจทำงานหนักลดลง […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% จริงหรือ?

01 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% บทสรุป : 1.โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็มเท่านั้น2.ในอาหารปรุงสำเร็จต่าง ๆ รวมถึงขนมที่ใช้ผงฟูล้วนอุดมไปด้วยโซเดียมปริมาณสูง3.การคุมอาหารแบบ DASH ช่วยลดความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เกลือ หรือ โซเดียมคลอไรด์ ส่งผลต่อความดันโลหิต เมื่อร่างกายต้องเพิ่มปริมาณน้ำในหลอดเลือดมากกว่าปกติเพื่อเจือจางโซเดียมในกระแสเลือด นอกจากนี้ เกลือยังทำให้หลอดเลือดหดตัวในระยะยาวอีกด้วย อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดความดันโลหิตสูงอย่างชัดเจน สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (AHA) แนะนำให้บริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 4 ช้อนชา และแนะนำให้ผู้สูงอายุบริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม ขณะที่ผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 3,400 มิลลิกรัม ส่วนคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 4,300 มิลลิกรัม โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็ม […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : ดื่ม “ชาไทย” อย่างไร ปลอดภัยSunset yellow FCF

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์เตือนว่า “เครื่องดื่มชาไทย มีการใส่สีสังเคราะห์ หากดื่มมาก อาจเสี่ยงอันตราย” จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.กฤษกมล ณ จอม อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การตรวจสอบ “ชาไทย” ด้วยตนเอง จากเครื่องมือชั้นสูงของภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร พบว่า ชาไทยทุกยี่ห้อใส่สี Sunset yellow FCF หรือ “สีเหลืองพระอาทิตย์ตก” การใส่สี Sunset Yellow FCF ในอาหารและเครื่องดื่มไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ร่างกายสามารถขับออกได้ ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้ใช้ Sunset Yellow FCF ในอาหารและเครื่องดื่มได้ โดยระบุว่าชาที่ใส่สีจะถูกนับเป็นประเภทชาปรุงสำเร็จที่ปรุงแต่งสีกลิ่นรส กฎหมายอนุญาตให้ใส่สีผสมอาหาร Sunset Yellow FCF ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม องค์การอนามัยโลก (WHO) ถือว่าสี Sunset Yellow FCF […]

ชัวร์ก่อนแชร์: โรคความดันจากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ จริงหรือ?

31 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : โรคความดันจากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ บทสรุป : การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยชะลอหรือบรรเทาความรุนแรงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เอกสาร Family History and High Blood Pressure ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 1 รายที่มีประวัติป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนอายุ 60 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า แต่กระนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ช่วยชะลอหรือบรรเทาความรุนแรงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การควบคุมน้ำหนักตัว ออกกำลังกายบ่อย ๆ ไม่สูบบุหรี่ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากจะช่วยให้การเกิดโรคความดันโลหิตสูงช้าลงแล้ว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง จริงหรือ?

30 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง บทสรุป : 1.ในช่วงวัยกลางคนจะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง2.แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงความดันโลหิตสูงในผู้หญิงจะเริ่มมากกว่าผู้ชาย FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แม้ปกติแล้ว ในช่วงวัยกลางคนจะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงความดันโลหิตสูงในผู้หญิงจะเริ่มมากกว่าผู้ชาย ศาสตราจารย์ แอนเจลา มาส์ ผู้อำนวยการกิตติคุณโครงการสุขภาพหัวใจสตรี ศูนย์การแพทย์ Radboud University Medical Center ประเทศเนเธอร์แลนด์ อธิบายว่า ความเข้าใจผิดมาจากในช่วงอายุก่อน 50 ปี จะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่ผู้หญิงจะเริ่มมีปัญหาความดันโลหิตสูงหลังหมดประจำเดือน ดังนั้นจึงเริ่มพบผู้หญิงป่วยเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ชายหลังอายุ 65 ปีขึ้นไป บ่อยครั้งที่ความเชื่อว่าความดันโลหิตสูงเกิดกับผู้ชายมากกว่า ทำให้ผู้หญิงหลายคนมองข้ามว่า อาการผิดปกติของร่างกายเกิดจากภาวะหมดประจำเดือน ความกังวล หรือความเครียด เช่น อาการใจสั่น เจ็บหน้าอก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย […]

ชัวร์ก่อนแชร์ : เครื่องครัวพลาสติกสีดำ มีสารเสี่ยงมะเร็ง จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์ข่าวเตือนว่า “เครื่องครัวพลาสติกสีดำ มีสารเสี่ยงเกิดมะเร็งปริมาณสูง บ้านไหนมีควรทิ้ง ยิ่งใช้ยิ่งอันตราย” จริงหรือ ? 🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.บุศรินทร์ จงเจริญยานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ และ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ข่าวนี้มาจากงานวิจัยและงานวิจัยมีอยู่จริง มีข้อมูลบางส่วนจากงานวิจัยที่ข่าวนี้ใช้อ้างอิงมีความผิดพลาด โดยเจ้าของงานวิจัยนี้ได้ทำหนังสือขอโทษและแก้ไขข้อมูลแล้ว แต่ข่าวที่เผยแพร่ในประเทศไทยยังไม่ได้มีการอัปเดตข้อมูลการแก้ไขนี้ จึงยังไม่ควรแชร์ต่อ เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ประเด็นที่ผิดพลาดคือ เจ้าของงานวิจัยรายงานว่าสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (United States Environmental Protection Agency : US EPA) กำหนดขีดจำกัดที่ปลอดภัยของ Decabromodiphenyl Ether, BDE-209 ไว้ที่ 42,000 นาโนกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด โดยไม่ได้ใส่เลข 0 หนึ่งตัว การคำนวณนี้มาจากปริมาณการรับสัมผัสที่ยังอยู่ในระดับปลอดภัยของ BDE-209 คือ 7,000 นาโนกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน และใช้ค่าน้ำหนักผู้ใหญ่ 60 กิโลกรัม ดังนั้น ค่าที่ถูกต้องคือ 7,000 x […]

1 9 10 11 12 13 161
...