ทรูเชื่อ 5G จะเกิดเร็วถ้า ระบบนิเวศน์พร้อม

กรุงเทพฯ 19 ส.ค. ทรู เร่งสร้างระบบนิเวศน์รองรับ5G เชื่อเทคโนโลยีจะเกิดถ้าคนส่วนใหญ่ได้ลองใช้ นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า โควิด-19 ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โชคดีที่ปีที่ผ่านมามีการประมูลคลื่นความถี่เพื่อพัฒนา 5G จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมทำให้โอเปอเรเตอร์สามารถลงทุนเครือข่าย 5G มาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงมีแอปพลิเคชั่นและบริการมาช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มทรู 5G จะเข้าไปมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวิถีชีวิตใหม่ให้แก่หลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยการมีคลื่นครบสุดถึง 7 ย่านความถี่ จึงมั่นใจว่าจะมีส่วนทำให้ผู้ใช้งานมีชีวิตดีขึ้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม นายพิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์ หัวหน้าคณะทำงานและกรรมการยุทธศาสตร์ 5G บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า ทรูเชื่อว่า 5G จะเกิดขึ้นได้ถ้ามีการใช้งานจริงใน 4 สถานที่คือ ชุมชน ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา และโรงงานอุตสาหกรรมช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างระบบนิเวศน์ 5G ให้เกิดขึ้นให้ได้ในทุกภาคส่วน ถ้าเราจะให้ 5G ขับเคลื่อนประเทศโดยที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยใช้5G คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าประสบการณ์ 5G ไปถึงคนจำนวนมาก 5G จะเกิดขึ้นได้ ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการมีผู้ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี 5G แล้วมากกว่า 30,000 ชิ้น โดยแนวโน้มมีผู้ต้องการใช้ 5G เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  “สถติในตลาดจีนช่วงแรกของการมาของ 5G ราคาสมาร์ทโฟน 5G อยู่ที่ 30,000 บาท ปัจจุบันเครื่อง 5G เหลือประมาณ 10,000 บาทแล้ว ทำให้เห็นว่าราคาปรังตัวลงเร็วมาก ดังนั้นการจะมีคนใช้ 5G ในประเทศไทยถึงแสนรายภายในปี 2564 จึงน่าจะเป็นไปได้ ” -สำนักข่าวไทย.

กระทรวงดีอีเอสแจ้งความเพจผิดกฎหมาย

กรุงเทพฯ 19 ส.ค. ดีอีเอส แจ้งความเอาผิดเพจรอนัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส  ผู้สื่อข่าวรายงาน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้มอบหมายให้ นายภุชพงค์  โนดไธสงค์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ เข้ายื่นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และได้นำมายื่นต่อพนักงานสอบสวนบก.ปอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้บริหารกลุ่มเฟซบุ๊ก ชื่อ “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” และหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกระทำความผิดโดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรสร้างการดูหมิ่นเกลียดชังจนทำให้เกิดจนทำให้เกิดการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักตามรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยซึ่งกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป นายพุทธิพงษ์ฯ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้รับความร่วมมืออย่างมากจากประชาชน ส่งข้อมูลแจ้งเบาะแสสื่อสังคมออนไลน์และเว็บผิดกฎหมายเข้ามาที่เพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” โดยมีจำนวนการแจ้งเข้ามาระหว่างวันที่ 7-17 สิงหาคม2563 จำนวน 3,083 รายการ (ยูอาร์แอล) หรือเพิ่มขึ้นราว 2 เท่าจากการเปิดตัวเพจในสัปดาห์แรก โดยจำนวนที่แจ้งมามีข้อมูลซ้ำซ้อนกันจำนวน 840 รายการ โดยเมื่อดำเนินการตรวจสอบแล้วเข้าข้อกฎหมาย 1,395 รายการ กระจายกันอยู่บนช่องทางโซเชียล และเว็บไซต์ ดังนี้  1. เฟซบุ๊ก จำนวน 1,014 รายการ  2.ยูทูบ จำนวน 226 รายการ 3.ทวิตเตอร์ จำนวน 121 รายการ 4. เว็บไซต์ จำนวน 25 รายการ (ยูอาร์แอล) และ 5.Tiktok จำนวน 9 รายการ โดยศาลมีคำสั่งให้ดำเนินการปิดหรือลบข้อมูลแล้วทั้งสิ้น 653 รายการ อยู่ระหว่างดำเนินการยื่น ขอศาล จำนวน 742 รายการ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ 848 รายการ และสื่อโซเชียลเป็นช่องทางที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว และมีจุดอ่อนในเรื่องกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของข้อมูล ดังนั้น ประชาชนคนไทยและผู้ใช้สื่อโซเชียลทุกคน จึงเป็นกำลังสำคัญ ในการช่วยกันตรวจสอบ สอดส่อง และแจ้งเบาะแสเข้ามาที่เพจอาสา จับตา ออนไลน์ เพื่อช่วยกันป้องกันความเสียหายและผลกระทบทั้งในระดับตัวบุคคลและสังคม ที่จะเกิดขึ้นจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ผิดกฎหมาย รวมถึงข้อมูลที่บิดเบือน ได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน มีข้อสังเกตว่า สื่อโซเชียล ยังเป็นช่องทางหลักของการเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมาย โดยเฟซบุ๊ก ยังเป็นช่องทางที่มีจำนวนมากสุด ส่วน Tiktok ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แนวโน้มกระแสความนิยมเพิ่มขึ้น ก็เริ่มถูกใช้เป็นช่องทางกระทำการผิดกฎหมายในลักษณะนี้เช่นกัน-สำนักข่าวไทย.

กสทช.คาดสรุปเรียงช่องทีวีดิจิตอลกันยายน

กรุงเทพฯ 19 ส.ค. อนุกระจายเสียงเตรียมสรุปผลฟังความเห็นเรียงข่องคาดชงเข้าบอร์ดออกมติเดือนกันยายน พันเอกนที ศุกลรัตน์ รองประธาน กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาเรื่องการเรียงช่องทีวีดิจิตอลว่า คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จะมีการประชุมในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 โดยที่ประชุมจะนำผลการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา จากนั้นจะนำข้อสรุปเสนอที่ประชุมบอร์ดกสทช.ช่วงกลางเดือนกันยายน  “ขณะนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าหรือข้อสรุปจากที่ประชุมอนุกลั่นกรองฯ เมื่อประชุมกันแล้วถึงจะทำข้อสรุปเสนอบอร์ดชุดใหญ่ซึ่งมติของบอร์ดจะมีผลทางกฎหมาย ” พันเอกนที กล่าวอีกว่า การออกประกาศกสทช.เรื่องการเรียงช่องทีวีดิจิตอลขึ้นอยู่กับความเห็นกรรมการกสทช. โดยหลักการกรรมการจะพิจารณาว่าประกาศจะช่วยแก้ปัญหาที่มีอยู่อย่างไร ส่วนตัวมองว่าการเปลี่ยนช่องโดยไม่มีกฎเกณฑ์รอวัยจะทำให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ชมเกิดความสับสน แต่กติกาที่จะออกมาก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยมุ่งประโยชน์เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายที่สุด เรื่องที่จะพิจารณาไม่ห่วงอะไร กรรมการทุกคนมีวิจารณญาณของตัวเอง ที่ผ่านมาตัวแทนของช่องทีวี และสื่อก็ได้ให้ความคิดเห็นในเวทีที่กสทช.เปิดรับฟังความคิดเห็นไปหมดแล้ว ซึ่งอนุกรรมการจะต้องเอาความเห็นทั้งหมดมาพิจารณา -สำนักข่าวไทย.

กสทช แจ้งแผนปรับปรุง สัญญาณทีวีดิจิตอล

กรุงเทพฯ 19 ส.ค. กสทช. เผยแผนปรับปรุงโครงข่ายดิจิตอลทีวีหลังเรียกคืนคลื่น 700 เมกกะเฮิรตซ์ ผู้ชมปรับจูนกล่องรับสัญญาณก.ย. -ธ.ค. 2563 เริ่มภาคใต้เป็นภาคแรก พันเอกนที ศุกลรัตน์ รองประธาน กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) แถลงแนวทางการปรับปรุงโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล เพื่อรองรับการเรียกคืนคลื่นความถี่ย่าน 700 เมกะเฮิรตซ์ ว่า หลังจากมีการประมูลคลื่นความถี่ 700 เมกกะเฮิรตซ์ ที่ใช้ในกิจการกระจายเสียงนำมาใช้ในกิจการโทรคมนาคมเพื่อรองรับเทคโนโลยี 5G นั้นจะส่งผลให้ตั้งแต่เดือน ก.ย. -ธ.ค. 2563 โทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลหรือดิจิตอลทีวีไม่สามารถรับชมได้ในบางพื้นที่ซึ่งประชาชนต้องทำการปรับจูนกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล (Set Top Box) หรือดิจิตอลทีวีเพื่อให้ดิจิตอลทีวีกลับมารับชมได้อีกครั้งสำหรับพื้นที่ที่ประชาชนต้องทำการปรับจูนกล่อง Set Top Box หรือดิจิตอลทีวีเพื่อให้กลับมารับชมได้ การปรับปรุงระบบเริ่มจากลำดับแรก พื้นที่ภาคใต้เริ่มเดือน ก.ย. 2563 ,พื้นที่ในกรุงเทพมหานครปริมณฑลและบริเวณใกล้เคียงเริ่มวันที่ 5 ต.ค. 2563 , พื้นที่ภาคเหนือเริ่มเดือน ต.ค. 2563 , พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มเดือน พ.ย. […]

กสทช.พร้อมแจงข้อสงสัยสัญญาณสื่อสารในพื้นที่ชุมนุม

กรุงเทพฯ 19 ส.ค. กสทช. พร้อมแจง กรณีข้อสงสัยการใช้งานสัญญาณสื่อสารมีปัญหาในพื้นที่ชุมนุม ยันกสทช.ไม่มีอำนาจสั่งตัดสัญญาณสื่อสารได้ นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (รองเลขาธิการ กสทช.) สายงานกิจการโทรคมนาคม กล่าวถึงกรณีคณะทำงานติดตามการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชน ในคณะกรรมาธิการ การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร จะเรียกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส), กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) เข้าชี้แจงต่อกรณีคณะประชาชนปลดแอกจัดการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยพบว่าระบบการสื่อสารทั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ต และเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถใช้งานได้ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นการลิดรอนสิทธิของผู้ใช้บริการที่มาร่วมชุมนุมหรือไม่ว่า กสทช. พร้อมเข้าชี้แจงรายละเอียดตามข้อเท็จจริง แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานจาก กมธ. แต่อย่างใด อย่างไรก็ดีการที่ผู้ใช้บริการระบบสื่อสารจะมีปัญหาสัญญาณในพื้นที่ชุมนุมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้งานดาต้าหนาแน่น เช่น มีการถ่ายทอดสด (ไลฟ์), แชทผ่านแพลตฟอร์ม การเล่นโซเชียลมีเดีย การชมคลิปวิดีโอ รวมถึงการเล่นเกมต่างๆ เป็นต้น ทำให้การใช้งานดาต้ามีประสิทธิภาพลดลง หรือถึงขั้นไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งโดยปกติการจัดงานที่คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก แกนนำหรือทีมผู้จัดงาน จะต้องประสานมายัง กสทช. ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อขออำนวยความสะดวกรถโมบายขยายสัญญาณ จากนั้น กสทช. จะประสานไปยังโอเปอเรเตอร์เพื่อขอความร่วมมือ โดยส่วนใหญ่แต่ละรายจะส่งรถโมบายขยายสัญญาณลงพื้นที่ 1-2 คัน “ยืนยันว่าไม่มีรถตัดสัญญาณ เพราะตามอำนาจหน้าที่ไม่สามารถสั่งการได้ โดยรถที่ กสทช. มี คือ รถขยายสัญญาณวิทยุสื่อสาร และรถตรวจสอบคุณภาพสัญญาณ ซึ่งหากทีมผู้จัดงานมีการประสานมายัง กสทช. ก็พร้อมให้ความร่วมมือในการอำนวยความสะดวก” นายสุทธิศักดิ์ -สำนักข่าวไทย.

เปิดแผนดีป้าเดินหน้าปั้นไทยสู่ดิจิทัลยุค 5G

กรุงเทพฯ 18 ส.ค. ดีป้าเปิดแผนปี 2564 เดินหน้าโครงการรับโลกยุค 5G  นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า ดีป้าได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2564 อยู่ที่ 1,080 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกันกับปีก่อน แต่ที่เห็นว่าตัวเลขลดลงนั้น เนื่องจากได้ขอขยายการรับงบประมาณในการก่อสร้างอาคารที่ 4 และ 5 ของโครงการไทยแลนด์ดิจิทัลวัลเลย์บนพื้นที่อีอีซีดี  อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีออกไปจัดสรรในปีงบประมาณ 2565 ประมาณอาคารละ 800 ล้านบาท แทน เพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปจัดสรรในสิ่งที่จำเป็นก่อน สำหรับงบประมาณปี 2564 ที่ได้รับมาจะเน้นทำโครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการดิจิทัล สตาร์ท อัป ในการสนับสนุนให้ประะทศไทยมีสตาร์ท อัป ระดับซีรีส์ เอ หรือกลายเป็นยูนิคอร์นของประเทศไทยให้ได้ภายในปี 2564 ,โครงการจัดอบรมด้านโรโบติก มีการจัดหลักสูตรร่วมกับสถาบันต่างๆสร้างความรู้เกี่ยวกับ โดรน,เอไอ กับกลุ่มสถาบันอาชีวศึกษา โรงงาน และโรงแรม เป็นต้น, การทำโครงการสมาร์ท ซิตี้ ใน 26 จังหวัด  “รวมถึงการการสร้างมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ ไอโอที ที่ผลิตโดยนักพัฒนาและผู้ประกอบการในประเทศ อาทิ กล้องวงจร ปิดโดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานที่จะเป็นแนวทางที่ผู้ผลิตอุปกรณ์สามารถยกระดับการพัฒนาและการผลิตให้สามารถนำออกให้บริการกับประชาชนได้อย่างมั่นใจและเป็นมาตรฐานสากล ทำให้สินค้าระดับคอนซูเมอร์มีมาตรฐานเดียวกันภายใต้ชื่อ DSure (ดีชัวร์) ที่มาจากคำว่า Digital Sure” นายณัฐพล กล่าว นายณัฐพล กล่าวว่า ผู้บริโภคในประเทศจะมีความมั่นใจในการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ผลิตโดยคนไทย มีมาตรฐานและการรับรองที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นทางการเลือกในการใช้เทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นเองไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ที่ผลิตจากต่างประเทศที่มีราคาสูงกล่าว หรือถูกเกินไปจนไม่น่าไว้วางใจ ทั้งนี้มาตรฐานที่ดีป้าจะพัฒนาขึ้น เป็นมาตรฐานที่ยึดเอาความสมัครใจและการรับรองตามหลักวิชาการ ไม่ใช่มาตรฐานตามกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่บังคับให้ผู้ประกอบการทั้งในหรือต่างประเทศจะต้องได้รับมาตรฐานนี้  สำหรับความคืบหน้าในการสร้างโครงการไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์ งบประมาณ กว่า 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 30 ไร่ ในอีอีซีดีนั้น ขณะนี้อาคารแรก งบประมาณ 48 ล้านบาท พื้นที่ 1,500 ตารางเมตร สำหรับบริษัทที่สนใจเช่าเป็นสาขา ได้ดำเนินการสร้างเสร็จสิ้นแล้ว และมีผู้เข้าจองพื้นที่เป็นสตาร์ท อัป เต็มพื้นที่แล้ว ขณะที่ยังคงเหลือบริษัทที่รอการเช่าอีก 10 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะมาใช้อาคารที่สองในพื้นที่ 45,000 ตารางเมตร งบประมาณ 168 ล้านบาท คาดว่าจะเสร็จภายในเดือน ก.ค. 2564 ซึ่งเปิดพื้นที่ในการทำงาน ทดลองทดสอบทั้งเทคโนโลยีเอไอ และ บลอคเชน  ส่วนตึกที่ 3  งบประมาณ 1,300 ล้านบาท พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร อยู่ระหว่างการเปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ขณะที่ดีป้าจะเริ่มโรดโชว์ให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะการเป็นแลปในการพัฒนาแอปพลิเคชัน 5Gให้มีสินค้าออกสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีวีอาร์ หรือ เออาร์ ตลอดจนบริษัทดิจิทัล คอนเท็นต์ มาใข้สำนักงานในประเทศไทยด้วย เป็นต้น ทั้งนี้ประเทศไทยต้องแข่งขันดึงนักลงทุนต่างชาติกับประเทศเวียดนาม และ มาเลเซีย ให้ได้ ดังนั้นประเทศไทยจะสู้ได้ก็ต้องมีการพัฒนาบุคลากรมารองรับงานดิจิทัลที่คาดว่าจะมีความต้องการสูงขึ้นด้วย ขณะที่อาคารที่ 4  และ 5 จะเริ่มก่อสร้างภายในปี2565 ด้วยงบประมาณอาคารละ 800 ล้านบาท พื้นที่อาคารละ 20,000 ตารางเมตร โดยอาคารที่ 4 เป็น Digital Edutainment Centre มีพื้นที่ให้ทดสอบทดลองและจัดกิจกรรม ส่วนอาคารที่ 5  เป็น Digital Go Glebal Centre เป็นพื้นที่รองรับดิจิทัลสตาร์ท อัป และเป็นสำนักงานและมีพื้นที่ โค เวิร์กกิ้ง สเปซ และพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม-สำนักข่าวไทย.

การ์ทเนอร์คาดโควิด-19กระทบระยะสั้นภาคการเงินลดการใช้จ่ายไอที

กรุงเทพฯ 18 ส.ค. การ์ทเนอร์คาดมูลค่าใช้จ่ายไอทีของธุรกิจธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ร้อยละ 4.7 แต่จะฟื้นในปี 2564 นายเจฟฟ์ เคซี่ย์ นักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า โควิด-19 เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีในแวดวงธนาคารและหลักทรัพย์เกิดความผันผวน แม้ไอทียังเป็นตัวกำหนดวิธีการทำธุรกรรมของลูกค้าต่อสถาบันการเงินให้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย บริษัทเหล่านี้ยังต้องเดินหน้าให้บริการและตอบสนองความต้องการใหม่ และด้วยมาตรการปรับตัวให้พนักงานทำงานผ่านระบบทางไกล ในระยะเริ่มแรกของการแพร่ระบาด ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีใน 4 ประเด็นสำคัญ คือ การดำเนินงานเพื่อเข้าถึงบริการพื้นฐานได้อย่างต่อเนื่อง ซัพพลายเชน เพื่อตอบสนองความต้องการซัพพลายเออร์และลูกค้ารายใหม่  รายได้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานต่อไปได้ และแรงงาน (ฝเพื่อสนับสนุนให้พนักงานทำงานจากระยะไกลท่ามกลางสถานการณ์การหยุดชะงัก การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์จะกลับมาพลิกฟื้นในช่วงปี 2564 ด้วยอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 6.6 ทั่วโลก ด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ตอนนี้ธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ต่างกำลังเร่งผลักดันและริเริ่มการใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น แชทบอทสื่อสารกับลูกค้า กระบวนการอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ (RPA) และโซลูชันการสร้างบัญชีแบบ end-to-end นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่การออกแบบโครงสร้างองค์กรและขั้นตอนการทำงาน รวมถึงการหันมาจัดลำดับความสำคัญของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ทันสมัย การ์ทเนอร์เชื่อว่า ภาวะดังกล่าวนี้จะกินเวลาช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากธนาคารต่างเริ่มปรับตัวตอบสนองต่อผลของการหยุดชะงักจากโควิด-19 การใช้จ่ายด้านบริการไอทีจะเริ่มกลับมาดีดตัวสูงขึ้น เพราะธนาคารต่าง ๆ กำลังเร่งผลักดันและปรับปรุงเทคโนโลยีการให้บริการให้ทันสมัยขึ้นในปีหน้า  ด้วยความสามารถของการสร้างมูลค่าให้กับบริการและที่มาของรายได้แหล่งใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จระยะยาว-สำนักข่าวไทย.

โรงพยาบาลรามฯ จับมือ เดลล์ เปลี่ยนผ่านเป็นโรง พยาบาลอัจฉริยะ

กรุงเทพฯ 18 ส.ค. โรงพยาบาลรามคำแหง เปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานไอที ยกเครื่องระบบรองรับการเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ  นาชพิชญ สมบูรณสิน กรรมการบริหาร โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าว กล่าวว่า  วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลคือการมีสร้างโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS หรือ Hospital Information System) โดยระบบใหม่จะเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อนำไปใช้ในโรงพยาบาล 40 แห่งภายใต้การดูแล ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โรงพยาบาลได้นำระบบดาต้าเซ็นเตอร์ ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ โซลูชันด้านการปกป้องข้อมูล รวมทั้งซอฟต์แวร์ virtualization ของวีเอ็มแวร์ ไปจนถึงอุปกรณ์ปลายทางทั้งเวิร์กสเตชัน เดสก์ท็อป และแล็ปท็อป โดยระบบถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาลในเครือ 3 แห่ง คือ  โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา โรงพยาบาลสุขุมวิท และโรงพยาบาลเชียงใหม่โดยโรงงานได้กำหนดให้โรงพยาบาลหลักให้การสนับสนุนโรงพยาบาลสาขาอื่น ภายในเครือโรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งมีโรงพยาบาลขนาด 485 เตียงในอาคารผู้ป่วย 3 แห่ง โครงสร้าางพ้นฐานใหม่มีโฮสต์ของดาต้าเซ็นเตอร์องค์กร และเป็นหนึ่งในไซต์การกู้คืนข้อมูล (DR หรือ Disaster Recovery) เพื่อรองรับและให้บริการโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็กกว่า โดยโรงพยาบาลรามคำแหงคาดหวังที่จะมีการนำระบบที่มีขนาดเล็กกว่าไปใช้ที่โรงพยาบาลสาขา 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ราม และโรงพยาบาลพะเยา ราม โดยโรงพยาบาลสาขาแต่ละแห่งจะมี เอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก (EDC) ที่สำรองข้อมูลในแบบเรียล-ไทม์เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลในขณะที่ใช้ทรัพยากร ซึ่งโฮสต์อยู่ที่โรงพยาบาลรามคำแหง ด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีออลแฟลช (All-Flash) และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถเพิ่มขนาดในการทำงาน(scale-out) ทำให้การดำเนินงานใหม่สามารถเสร็จสิ้นได้ภายในระยะเวลาที่น้อยกว่า 1 เดือนนับจากระยะเวลาที่โปรเจ็คเริ่มต้นและออกแบบมาเพื่อขยายขนาดการใช้งานใหม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือนนับจากวันที่เริ่มโครงการจนถึงวันที่เริ่มต้นใช้งานจริง (go-live) เมื่อรวมกับการใช้งานแอปพลิเคชัน ที่จะช่วยประหยัดเวลาวันที่ใช้งานจริง รวมถึงการใช้งานแอปพลิเคชันช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรด้านไอทีให้กับโรงพยาบาล “เป้าหมายของโรงพยาบาล คือการมีรากฐานเชิงกลยุทธ์แบบองค์รวมเข้ามาใช้กับระบบการบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ หรือ EHR (electronic health records) ที่ผู้ใช้ที่ได้รับมอบหมายและได้รับอนุญาตที่อยู่ภายในเครือข่ายโรงพยาบาลของเราสามารถเข้าถึงบันทึกผู้ป่วยและข้อมูลด้านสุขภาพที่อัพเดทที่สุดเพื่อสามารถให้การรักษาและการบริการผู้ป่วยได้ในทันที ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเท่านั้น” นายพิชญ กล่าว  นายพิชญ กล่าวอีกว่า ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีมาตรฐานที่ผู้ป่วยทั่วประเทศสามารถมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านการรักษาพยาบาลที่ได้รับไม่ว่าจะอยู่ที่ใด หรือจากโรงพยาบาลสาขาใดที่เข้ารับการรักษาก็ตาม การทำงานร่วมกับเดลล์ เทคโนโลยีส์ทำให้เรามั่นใจได้ว่าข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดจะถูกส่งผ่านจากดาต้าเซ็นเตอร์ไปสู่อุปกรณ์ปลายทางอย่างปลอดภัยไม่ว่าจะมีการเข้าถึงข้อมูลจากที่ใดก็ตาม  การปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีทำให้ Joint Commission International (JCI) หน่วยงานที่ตรวจสอบการดำเนินงานของโรงพยาบาลด้วยมาตรฐานระดับโลกด้านคุณภาพการดูแลและความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลรามคำแหงได้รับคะแนนสูงสุดในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบโดยเฉพาะระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล ส่วนการจัดการปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้องและกรณีของภัยพิบัติตามธรรมชาติที่อาจส่งผลต่อการหยุดทำงานของระบบ โรงพยาบาลได้พัฒนาระบบเพิ่มไซต์สำรอง เพื่อให้เครื่องแม่ข่ายสามารถกู้คืนข้อมูลเพื่อควบคุมการโอนถ่ายกระบวนการเฟลโอเวอร์ไปยังไซต์สำรองในกรณีที่ไซต์หลักล้มเหลวโดยอัตโนมัติทำให้ระบบลับมาทำงานได้ใหม่ภายในระยะเวลาสั้นและการหยุดชะงักในระดับต่ำ นายนพดล ปัญญาธิปัตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว การปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีของโรงพยาบาลใช้เทคโนโลยีของ เดลล์ ในการการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีสำหรับเฮลธ์แคร์ทั้งหมด เพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจ เริ่มตั้งแต่จุดที่ให้การดูแลผู้ป่วยไปจนกระทั่งถึงดาต้าเซ็นเตอร์ จนกระทั่งระบบคลาวด์ เพื่อการยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ดีมากยิ่งขึ้น-สำนักข่าวไทย.

เอกชน ภาครัฐ จับมือ จัด BIDC แบบออนไลน์หนุน อุตฯดิจิทัลคอนเทนท์

กรุงเทพฯ 18 ส.ค. ภาครัฐ เอกชน จัดงาน BIDC แบบออนไลน์ หนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์  นายกฤษณ์ ณ ลำเลียง นายกสมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย และผู้แทนภาคอุตสาหกรรม กล่าวว่า  เวที BIDC เป็นงานประจำปีของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ เป็นเวทีนำเสนอผลงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ และต่อยอดเชิงธุรกิจในอนาคตรวม 23 รางวัลจาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อเป็นต้นแบบในอุตสาหกรรมฯ โดย หวังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดความสำเร็จในอนาคต  ทั้งนี้ในฐานะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมขอขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมที่ให้การสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้โดยหวังว่าทุกความร่วมมือจะเป็นจิ๊กซอร์ในการสนับสนุนและผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนต์ไทยให้มีความเข้มแข็ง เป็นฟันเฟื่องของการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นทำให้รูปแบบการจัดการในปีนี้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์จึงเป็นที่มาในแนวคิด “VR BIDC 2020” ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและการเปลี่ยนแปลงในยุควิถีความปกติใหม่ หรือ New Normal โดยกิจกรรมสำคัญที่เคยจัดขึ้นในรูปแบบออฟไลน์เปลี่ยนมาจัดในรูปแบบออนไลน์ทั้งหมด ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการแบบ Virtual Exhibition โดยผ่านแพลตฟอร์ม “Mozilla Hub” ที่ทุกท่านสามารถสแกน QR code เรียบร้อยแล้วเข้าไปร่วมชมผลงานของบริษัท คนไทยทั้งหมดที่มาจัดแสดงได้เสมือนไปชมของจริง การจัด Business Matching เดิมเรา ต้องเชิญแขกจากประเทศ มาร่วมจับคู่เจรจาที่จัดขึ้นในประเทศไทย แต่ในปีนี้รูปแบบการจับคู่เจรจาออนไลน์ (match online) ด้วยแพลตฟอร์ม Deal Room การจัดสัมมนาด้วยระบบ Webinar สนับสนุนโดยสำนัก งานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB  โดยได้เชิญวิทยากรระดับโลกในสายงานดิจิทัล คอนเทนต์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์  เทคนิค และ การปรับเปลี่ยนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยจัดขึ้นระหว่างในวันที่ 18-20 ส.ค. 2563 รายละเอียดตารางสัมมนาฯ เข้าไปที่ เฟสบุ๊คเพจ Bangkok International Digital Content Festival นางหริสุดา บุญยวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการจัดงานเมกะอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ กล่าวว่า ในฐานะองค์กรที่มีบทบาทในการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการระดับประเทศ ทีเส็บได้ประสานความร่วมมือเพื่อให้นำ เครื่องมือสำคัญ “Virtual Meeting Space” สนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการจัดงาน รวมถึงการเพิ่มทักษะความรู้ในการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ให้ผู้ประกอบการ ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดวิกฤตไวรัสระบาด ทีเส็บได้พัฒนาและจัดรูปแบบออกเป็น 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. Webinar หรือ การประชุมสัมมนาเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ 2. O2O (Offline to Online) หรือการจัดงานแสดงสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และ 3. E-Learning Platform หรือศูนย์การเรียนรู้คอร์สฝึกอบรมออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการ ไมซ์ เพื่อเพิ่มทักษะและทบทวนความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ในช่วงที่งานได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ทีเส็บมีความเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนและเอื้ออำนวยคณะผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์สามารถเข้าฟังและรับความรู้เกี่ยวกับดิจิทัล คอนเทนต์ได้มากขึ้นด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพของทีเส็บ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สำนัก งานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ประกอบด้วย ธุรกิจด้านเกม แอนิเมชัน คาร์แรคเตอร์ไทย อี-เลิร์นนิง VR&CG และVFX กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วตามพัฒนาการของเทคโนโลยีโลกและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา และในสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปัจจุบัน รัฐบาลในหลายประเทศต้องการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ ส่งผลให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ประชาชนใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ในส่วนของอุตสาหกรรมอี-เลิร์นนิงได้รับอานิสงค์ที่ขับเคลื่อนให้กลุ่มนี้มีการขยายตัว เนื่องจากทุกภาคส่วนรวมไปถึงประชาชนมีการปรับตัวและใช้การเรียนการสอนรวมไปถึงการทำงานผ่านรูปแบบ Online Live Streaming ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้แก่อุตสาหกรรม  ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในหลายปีที่ผ่านมาโครงการ Bangkok International Digital Content Festival  มีผู้ประกอบการดิจิทัล คอนเทนต์จากต่างประเทศเข้าร่วมมากกว่า 200 บริษัท และผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 100,000 คน โดยสร้างมูลค่าการเจรจาธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนต์ไทยมากกว่า 2 พันล้านบาท งาน Bangkok International Digital Content Festival หรือ BIDC เป็นงานมหกรรมของอุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือของภาคเอกชน  ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์  สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ (TCEB) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลหรือ (DEPA) และภาคเอกชนทั้ง 5 สมาคมของอุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนต์ไทย  ประกอบด้วย  สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) สมาคมอีเลิร์นนิงแห่งประเทศไทย (e-LAT)  สมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (BASA)  และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) ซึ่งที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายให้อุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนต์ไทยสู่เวทีระดับสากล นับเป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมฯและภาครัฐ ที่ได้ร่วมกันผลักดัน ส่งเสริม และบูรณาการ จนโครงการนี้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 23 สิงหาคม 2563  – สำนักข่าวไทย.

นายกฯเดินเครื่อง 5G วางแนวทางใช้ประโยชน์ขับเคลื่อนทุกภาคส่วน

กรุงเทพฯ 14 ส.ค.  ประชุมกก.5G นัดแรกนายกนั่งหัวโต๊ะ เคาะแผนใช้ประโยชน์ใช้ 5G หนุนเศรษฐกิจ การประชุมดประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ครั้งที่ 1/2563  ที่ประชุมได้กำหนดกำหนดเป้าหมายและแนวทางการขับเคลื่อนต่อยอด 5G ของประเทศไทยในทุกภาคส่วนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ 5G ของประเทศไทยระยะที่ 1 , โครงการนำร่องการใช้ประโยชน์ 5G ของประเทศไทยในระยะสั้น ในการส่งเสริมเกษตรดิจิทัลและการส่งเสริมโรงพยาบาลอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี 5Gและเห็นชอบ มาตรการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรม ภายหลังการประชุม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ 5G อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน (ร่าง) แผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ 5G ของประเทศไทย ระยะที่ 1 เพื่อมุ่งสู่การปฏิบัติ ทั้งในด้านของโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านการพัฒนาระบบนิเวศของ 5G เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเต็มประสิทธิภาพ  นอกจากนี้ กระทรวงดีอีเอสจะดำเนินการส่งเสริมเศรษฐกิจด้วยการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ณ พื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี โดยเป็นความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม นายกฯได้เน้นย้ำให้ดำเนินโครงการพร้อมกันทั้งประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเกษตรให้ทำในภาคอื่นพร้อมกันด้วย ภาคใต้สนับสนุนเรื่องยาง ปาล์ม ภาคอีสาน เรื่อง เกษตรแปลงใหม่ และข้าว ภาคกลาง เรื่องสวนผลไม้ เป็นต้น เพื่อให้เทคโนโลยี5G ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ไม่ให้เกิดความล่าช้า การพัฒนา5G ต้องทั่วถึงและเท่าเทียมทั้งประเทศ  นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน สำหรับกระตุ้นนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศหันมาลงทุนในไทยแทนประเทศสิงคโปร์ โจทย์คือ จะทำอย่างไรในการดึงนักลงทุนที่สิงคโปร์กลับมาประเทศไทย สำหรับคณะทำงานดังกล่าว ประกอบด้วย กระทรวงดีอีเอส , กระทรวงการคลัง,สำนักงานคณะกรรมการกิจการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.),สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้แต่ละกระทรวง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,กระทรวงคมนาคม,กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(ททท.) รวมถึงสภาต่างไปที่เป็นตัวแทนภาคเอกชน ไปสรุปความต้องการการใช้งาน5G ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อให้ขับเคลื่อนถูกวัตถุประสงค์ที่ต้องการ  จากนี้ไปกระทรวงดีอีเอสจะเร่งหาข้อสรุปก่อนมีการนัดประชุมใหญ่  ด้านนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ กล่าวเสริมว่า ในขณะนี้โอเปอร์เรเตอร์ต่าง ๆ ได้เริ่มดำเนินการติดตั้งโครงข่าย 5G แล้วในหลายพื้นที่ ซึ่งในระยะแรก จะเร่งดำเนินการในพื้นที่เป้าหมาย เช่น พื้นที่ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษพื้นที่เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และรวมถึงพื้นที่นำร่องการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G และคาดว่าจะขยายไปสู่ประชาชนทั่วประเทศภายในปี 2570 โดยในส่วนของโครงการนำร่องการใช้ประโยชน์ 5G นั้น สดช. ร่วมกับ สำนักงาน กสทช. ได้คัดเลือกพื้นที่นำร่องที่เหมาะสม โดยคาดหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ในวงกว้าง เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ในพื้นที่ ลดปัญหาความยากจน สร้างความเท่าเทียม เพิ่มรายได้ และสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การนำร่องโครงการเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G จะเป็นการทดสอบทดลองการใช้คลื่น 5G และประโยชน์ที่จะได้รับว่าเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ นั้น จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทยในทุกภาคส่วน และพร้อมเดินหน้าเพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ให้บรรลุตามทิศทางการพัฒนาที่ได้กำหนดไว้ต่อไป-สำนักข่าวไทย.

สมาคมทีวีดิจิตอลจี้กสทช.ออกประกาศเรียงช่อง ขู่ทำหนังสือร้องนายกฯ

กรุงเทพฯ 14 ส.ค.  สมาคมทีวีดิจิตอล จี้ กสทช.เร่งออกประกาศเรียงช่องชี้หาก ศาลปกครองสูงสุดเห็นตามศาลปกครองกลางอุตสาหกรรมทีสีจะเสียหายหนัก  นายสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) แถลงจุดยืนของอุตสาหกรรมหลังจากประเมินผลการประชุมย่อย (Focus group) ร่วมกับโครงข่ายทีวีดาวเทียมเคเบิลทีวีซึ่งกสทช. จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กสทช. เสนอยกช่อง 1-10 ให้ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีจัดเรียงช่องเองอิสระทีวีดิจิตอลอยู่หมายเลข 11-36 ตามเดิม แต่ยังไม่มีข้อยุติเนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างความเสียหายของตนบวกกับท่าทีของกสทช. ที่ยังไม่สามารถหาแนวทางการแก้ปัญหาได้ตามกรอบเวลาที่รับปากไว้จึงต้องประกาศจุดยืนและแนวทางการต่อสู้ในฐานะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ทั้งหมด 4 ข้อ คือจุดยืนสำคัญข้อแรกในการต่อสู้ของทีวีดิจิตอลคือการเป็นสื่อหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นหัวใจสำคัญในการสะท้อนบริบทของสังคมวัฒนธรรมเศรษฐกิจและเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการปฏิรูปสื่อตามนโยบายของรัฐที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของชาติเมื่อการเปลี่ยนผ่านของทีวีภาคพื้นดินไม่เป็นไปตามแผนงานการคงไว้ซึ่งประกาศ“ must carry” ปี 2555 และประกาศ “เรียงช่อง” ปี 2558 ให้โครงข่ายการรับชมอื่น ทั้งทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีน้าช่องรายการของทีวีดิจิตอลไปออกอากาศตรงตามหมายเลขการประมูลถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการชดเชย” และ“ ทดแทน” โครงข่ายภาคพื้นดินเพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหลที่คนดูหาช่องไม่เจอซ้ำรอยในอดีตที่นับเป็นความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก “ในการรับฟังความคิดเห็นสมาคมฯได้แสดงความคิดเห็นไปและถามพันเอกนที สุกลรัตน์ กรรมการ กสทช.ประธานในที่ประชุมครั้งนั้น ว่าจะออกประกาศฯ เมื่อใด ท่านแจ้งส่าประมาณหนึ่งสัปดาห์ ต่อมาบอร์ดกสทช.ฝั่งกิจการโทรทัศน์ได้ประชุมแต่องค์ประชุมไม่ครบ เนื่องจากบอร์ดบางส่วนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จึงไม่สามารถออกประกาศได้ เราคิดว่าคนที่เข้าใจสถานการณ์ของผู้ประกอบการดีที่สุด น่าจะเข้าใจอุตสาหกรรม แต่กลับเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ถ้าศาลปกครองสูงสุดมีความเห็นตรงกับศาลปกครองกลางอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบ เราเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบการเมื่อต้องประมูลทีวีดิจิทัลด้วยมูลค่ารวมกันกว่า 50,000 ล้านบาท ปัจจุบันประชาชนดูทีวีดิจิทัลผอนกล่องรับสัญญาณเพียงร้อยละ20 นอกนั้นเป็นอุปกรณ์อื่น ขอเรียกร้องให้ กรรมการกสทช. ต้องเร่งประชุมเพื่อออกประกาศเรียงช่อง เรารู้ว่าการออกประกาศไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ขอให้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่ายืนอยู่เคียงข้างผูประกอบการ โดยกสทช. จะออกประกาศก่อนศาลปกครองฯมีคำวินิจฉัยหรือมีคำวินิจฉัยแล้วก็ได้ ถ้าถึงที่สุดเราอาจจะต้องฟ้องกสทช.ถ้าสิ่งที่กำลังทำเกิดความเสียหายกับอุตสาหกรรมถ้าจำเป็นต้องทำเราอาจจะต้องทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพราะเราถือเป็นเรื่องวิกฤตของทีวีดิจิทัล  “ นายสุภาพกล่าว  นายสุภาพกล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบดิจิตอลทำให้ไม่มีผู้เสียหายจากการเรียงช่องมี แต่ผู้แสวงประโยชน์จากการยกเลิก“ ประกาศเรียงช่อง” เนื่องจากปัจจุบันการใช้คลื่นความถี่ในโครงข่ายของ“ ทีวีดาวเทียม” และ“ เคเบิลทีวี” เป็นไปอย่างไม่ จำกัด และสามารถจัดรูปแบบการเรียงช่องเป็นหมวดหมู่เพื่อบริการผู้ชมที่เป็นสมาชิกตามความต้องการของผู้ประกอบการแต่ละรายซึ่งผู้ประกอบการโครงข่ายก็ยืนยันเองว่าปัจจุบันไม่มีปัญหาเรื่องการจัดลำดับและหมวดหมู่หมายเลขช่องกับสมาชิกตามความต้องการแต่ละพื้นที่แล้ว ทีวีดิจิตอลเป็นสื่อหลักของชาติการเรียงช่อง” ตามลำดับหมายเลขการประมูลให้ตรงกันทั้งประเทศในทุกโครงข่ายทุกช่องทางการรับชมเป็นความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเพราะเป็นเงื่อนไขหลักที่ผู้ประกอบการทุ่มเงินประมูลเพื่อสิทธิ์ในการเลือกหมายเลขช่องเพื่อง่ายต่อการเข้าถึงของผู้ชมและต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการทำการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้ชมจนเกิดการจดจำซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดความสับสนต่อผู้ชมจนหาช่องไม่เจอเกิดความเสียหายต่อการอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างประเมินค่าไม่ได้ จากกรณีพิพาทนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงประกาศเรียงช่อง” ปี 2558 ไม่ว่ารูปแบบใดย่อมเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลอย่างมากมายมหาศาลช่องที่ออกอากาศในหมายเลข 1-10 ในโครงข่ายทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีตามข้อเสนอของกสทช. ย่อมเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจต่อทีวีดิจิตอล แต่มีต้นทุนต่ำกว่ามากไม่ต้องแบกภาระต้นทุนค่าใบอนุญาตส่งผลถึงคุณภาพการผลิตของทีวีดิจิตอลในอนาคตกระทบต่อความนิยมและเกิดการตัดราคาค่าโฆษณาหรือหากศาลยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้นจะก่อให้เกิดสุญญากาศสำหรับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทันทีลำดับช่องรายการไม่เป็นไปตามเดิมผู้ชมสับสนหาช่องเดิมไม่เจอเป็นโอกาสของเทคโนโลยีการรับชมใหม่ทางออนไลน์อย่าง OTT ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยี 5G จะเกิดความเสียหายมหาศาลเกินกว่าจะเยียวยาได้และอาจถึงจุดล่มสลายของทีวีดิจิตอลสื่อหลักของชาติ นายกสมาคมทีวีดิจิตอล กล่าวอีกว่า ประกาศเรียงช่องปี 2558” คือหัวใจสำคัญในการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลและเป็นหัวใจในการเข้าถึงสื่อสาธารณะของผู้ชมทีวีหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงประกาศเรียงซ่องปี 2558 ย่อมเกิดความเสียหายมหาศาลต่ออุตสาหกรรมซึ่งจะเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลยื่นฟ้องกสทช. ต่อศาลปกครองอีกครั้งอย่างแน่นอน นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์กล่าวว่า ฟรีทีวีเป็นบริการสาธารณะ ประชาชนเมื่อต้องการรับข้อมูลข่าวสารจะได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ถ้ามีการปรับเปลี่ยนหมายเลขช่องจะกระทบกับการรับข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาล เมื่อประชาชนสับสนลูกค้าสับสน ประชาชนดูทีวีไม่ได้จะกระทบกับเม็ดเงินโฆษณาในอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลทั้งหมด-สำนักข่าวไทย.

1 23 24 25 26 27 2,829
...