ทวิตเตอร์ชี้โควิด-19ส่งผลซื้อของออนไลน์โต

กรุงเทพฯ 5 พ.ย. ทวิตเตอร์เผยช้อปปิ้งออนไลน์โตแรงยุคโควิด-19 ชาวทวิตภพมากกว่า 4ใน 5 คนนิยมซื้อของออนไลน์ นายอาร์วินเดอร์ กุจรัล กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทวิตเตอร์ กล่าวว่า ข้อมูลจาก สตาติสต้าบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด พบว่า ในปี 2562 มีการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซทั่วโลกเป็นมูลค่ากว่า 3.53 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ข้อมูลจาก MediaRadar บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและโฆษณา พบว่ามีการใช้จ่ายค่าโฆษณาเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นจากเดิม 4.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 9.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงระหว่างที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซ (eCommerce) และ เอ็มคอมเมิร์ซ (mCommerce) ในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกันราว 3.98 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ห้างสรรพสินค้าเกือบทุกแห่งในประเทศไทยต้องปิดตามมาตรการของรัฐที่ขอให้ทุกคนอยู่บ้าน #StayAtHome กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งออนไลน์ การดิสรัปต์ที่สำคัญครั้งนี้ส่งผลไปถึงไลฟ์สไตล์ของผู้คนในการเลือกซื้อสินค้าทำให้อีคอมเมิร์ซในประเทศมีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลเนื่องจาก การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวันไปแล้ว แบรนด์ต่างๆ จึงหันมาลงทุนศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ทำความเข้าใจว่าผู้บริโภคเลือกสิ่งที่ชอบและไม่ชอบอย่างไร อะไรคือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ และการซื้อของออนไลน์มีลำดับขั้นตอนอย่างไร เป็นต้น “ไม่แปลกใจเลยว่าบทสนทนาที่พูดคุยเกี่ยวกับการช้อปปิ้งบนทวิตเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพิ่มมากขึ้น และเราจะเห็นช่วงพีคที่สุดในช่วงใกล้ๆ วันแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ทั้งก่อนและหลังวันที่มีการจัดโปรโมชั่น ทั้งนี้ การช้อปปิ้งยังเป็นหัวข้อการสนทนาที่มีการพูดคุยได้ตลอดทั้งปีบนทวิตเตอร์ ยิ่งผู้บริโภคหันมาใช้อีคอมเมิร์ซและเอ็มคอมเมิร์ซมากขึ้นจะพบว่าเทรนด์การสนทนาในหัวข้อที่เกี่ยวกับการช้อปปิ้งออนไลน์ยังคงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องแบรนด์ต่างๆ ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีในการทำการตลาด โดยเฉพาะจะต้องมีความเข้าใจว่าทำไมผู้บริโภคจึงเลือกซื้อของทางออนไลน์และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อดังกล่าว เราพบว่าแบรนด์ในประเทศไทยต่างหันมาใช้ทวิตเตอร์ในการคอนเน็คกับกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มผู้ใช้งานทวิตเตอร์ประเทศไทย” วันแห่งการช้อปปิ้งกลายเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดทั้งแบรนด์และผู้บริโภค ทวิตเตอร์นับเป็นแพลตฟอร์มที่แบรนด์เลือกใช้สร้างคอนเน็คกับนักช้อปออนไลน์ จากการวิจัยล่าสุดพบว่าผู้ใช้งานทวิตเตอร์ประเทศไทยมากกว่า 4 ใน 5 คน มีการซื้อของออนไลน์ ทั้งนี้แบรนด์สามารถทำความเข้าใจเทรนด์ของผู้บริโภคได้ถือเป็นเรื่องที่จำเป็น ทวิตเตอร์ขอแนะนำ 3 พฤติกรรมหลักในการช้อปปิ้งเพื่อช่วยให้เข้าใจเทรนด์การช้อปออนไลน์ของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ผู้บริโภคเลือกซื้ออะไรกันบ้าง  5 ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ในประเทศไทยนิยมสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์เมื่อเดือนที่ผ่านมาอันดับหนึ่ง แชมพู ร้อยละ84.7 รอลงมาคือ  น้ำยาปรับผ้านุ่ม ร้อยละ 75.6น้ำยาซักผ้า / ผงซักฟอก ร้อยละ 74.2 ครีมนวดผมร้อยละ 66.9 และเสื้อผ้า ร้อยละ66.7 ปัจจัยหลักในการช่วยกระตุ้นผู้บริโภคตัดสินใจซื้อของทางออนไลน์ มาจาก 4 เหตุผลหลักคือ การจัดส่งฟรี ส่วนลดต่างๆ การจ่ายเงินเมื่อได้รับสินค้า และเสียงสนับสนุนและการพูดถึงของผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคสนใจในเรื่องอะไรเป็นพิเศษผู้หญิงคือกลุ่มที่นิยมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องช้อปปิ้งบนทวิตเตอร์มากที่สุดในประเทศไทยเพียงแค่รู้ว่าผู้บริโภคมีความสนใจทั่วไปในเรื่องอะไร ก็จะสามารถช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการทำโฆษณาได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ สาวๆ นักช้อปบนทวิตเตอร์มีความสนใจในเรื่องของดนตรี, อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ, การทำอาหาร, ความงามและเครื่องสำอาง ในขณะที่หนุ่มนักช้อปมีความสนใจในเรื่องเทคโนโลยี, ดนตรี, การเล่นกีฬาและข่าวสาร การซื้อของออนไลน์ไม่ได้เป็นเพียงแค่การล็อกอินเพื่อเข้าไปซื้อแล้วล็อกออฟออกจากระบบเท่านั้น แต่ขั้นตอนในการช้อปปิ้งออนไลน์นั้นยาวนานกว่าที่คิด และมีความแตกต่างจากเดิมไปมาก การศึกษาหาข้อมูลและการวางแผนก่อนจ่ายเงินซื้อของถือเป็นส่วนที่สำคัญในขั้นตอนการซื้อของ โดยร้อยละ 94 ของนักช้อปออนไลน์บนทวิตเตอร์มักจะหาข้อมูลจากรายการสิ่งของที่อยากได้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โปรโมชั่นของวันแห่งการช้อปปิ้งที่สร้างปรากฎการณ์ ไม่ว่าจะเป็น 7/7, 8/8, 9/9, 10/10, 11/11 และ 12/12 กลายเป็นช่วงเวลาของการสร้างมูลค่ามหาศาลสำหรับวงการค้าปลีกในประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 4.57 พันล้านคนทั่วโลกและในประเทศไทยมีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตราวร้อยละ 75 จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมวันแห่งการช้อปปิ้งจึงเป็นการจัดโปรโมชั่นออนไลน์และกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญในการทำอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทวิตเตอร์ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคนิยมพูดคุยเกี่ยวกับการช้อปปิ้งในประเทศไทย-สำนักข่าวไทย.

กองทุนดีอีอนุมัติโครงการยกระดับทักษะรับผลโควิด-19

กรุงเทพฯ 5 พ.ย. กองทุนดีอี อนุมัติโครงการยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 6/2563 ในวันนี้(5 พฤศจิกายน 2563) ที่ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในครั้งนี้ มีหลายประเด็นสำคัญในการบริหารกองทุน และการจัดสรรเงินกองทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาอนุมัติโครงการตามมาตรา 26 (1) และ (2) ที่มีคำขอวงเงินเกิน 10 ล้านบาท ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง การเปิดรับข้อเสนอโครงการ/กิจกรรมของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 2 และได้ผ่านกระบวนการพิจารณามาแล้ว จากคณะทำงานวิเคราะห์โครงการด้านต่าง ๆ ทั้ง 4 คณะ รวมถึงคณะอนุกรรมการกลั่นกรองพิจารณาโครงการซึ่งมีปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน โดยกระบวนการ ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอให้คณะกรรมการฯ ช่วยกันพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้การใช้เงินกองทุนเกิดประโยชน์สูงสุด ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบอนุมัติโครงการตามมาตรา 26 (4) โครงการเผยแพร่และกระตุ้นการรับรู้พร้อมยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจยุค New Normal หลังวิกฤติโควิด 19 งบประมาณ 169,147,350 บาทตามที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เสนอขอการพิจารณา และอนุมัติโครงการตามประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการ/กิจกรรมฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 2 ตามมาตรา 26 (1) (2) ที่มีคำขอวงเงิน เกิน 10 ล้านบาท จำนวน 9 โครงการได้รับการอนุมัติ จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 402,735,620 บาท โดยเห็นชอบหลักการขอยกเลิกการเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ ในสถานการณ์ “ไวรัสโคโรนา” สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID19) ตามมาตรา 26 (6 ) กรอบวงเงิน 400 ล้านบาท และเสนอคณะกรรมการดิจิทัลฯ พิจารณายกเลิกกรอบวงเงินต่อไป นายพุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมว่าด้วยการบริหารงานบุคคลกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ….  เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับระเบียบฯ ว่าด้วยการบริหารกองทุนฯ พ.ศ.2561 ที่ระบุให้สำนักงานจัดทำโครงสร้างการบริหารงานของกองทุน เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านต่าง ๆ โดยให้มีอัตรากำลังที่เหมาะสมในการดำเนินงานและฐานะการเงินของกองทุนเสนอกรรมการบริหารกองทุนพิจารณาอนุมัติโดยความเห็นชอบ กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติต่อไป-สำนักข่าวไทย.

มูลนิธิชัยพัฒนานำร่องระบบฟาร์มแม่นยำช่วยพัฒนาการปลูกเห็ดหลินจือ

กรุงเทพฯ 5 พ.ย. มูลนิธิชัยพัฒนา จับบมือ เนคเทค สวทช. และดีแทค นำร่องโครงการฟาร์มสาธิตเห็ดหลินจือด้วยโซลูชัน “ฟาร์มแม่นยำ” ชูต้นแบบพืชเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยี ช่วยเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรไทย นายชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ  เนคเทค สวทช. ) กล่าวว่าโครงการความร่วมมือวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะกรณีศึกษาเห็ดหลินจือ เนคเทค สวทช. มีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอด พร้อมเผยแพร่และขยายผลให้เกษตรกรในพื้นที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสามฝ่าย ได้แก่ มูลนิธิชัยพัฒนา ดีแทค และเนคเทค สวทช. ในส่วนของเนคเทค สวทช. ได้ศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ในการใช้ระบบเซ็นเซอร์เพื่อการเกษตร และระบบควบคุมอัตโนมัติในโรงเรือนที่ชื่อ HandySense มาวิเคราะห์และควบคุมสภาวะที่เหมาะสมในการปลูกเห็ดหลินจือให้ได้ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว โดยมูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกเห็ดหลินจือ ร่วมทดสอบและเก็บข้อมูลในพื้นที่ และดีแทคสนับสนุนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้สามารถรับส่งข้อมูลผ่าน IoT Sensor ผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อนำมาวิเคราะห์และสรุปผลร่วมกัน ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าวได้มีการเริ่มติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ และระบบควบคุมอัตโนมัติในโรงเรือนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 มีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการฯเป็นอย่างดี อาทิ ระบบการควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนโดยระบบอัตโนมัติ ได้เลือกใช้ IR Heater เพื่อควบคุมอุณหภูมิและการกระจายของอุณหภูมิ และการออกแบบตำแหน่งในการติดตั้งระบบควบคุมอัตโนมัติภายในโรงเรือน อุณหภูมิกระจายตัวของความร้อนเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และทีมวิจัยฯ จะนำผลการทดลองที่ได้ไปปรับใช้กับการทดลองในฤดูหนาวนี้ และเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตต่อไป ซึ่งการดำเนินการศึกษาวิจัยในพื้นที่ มีการเก็บข้อมูลโดยระบบ IoT Sensor แสดงผลข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งได้อบรมการใช้งานให้กับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิชัยพัฒนา ณ ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และมีการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการฯ ร่วมกันทั้งสามฝ่ายในทุกรอบเดือน ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินโครงการฯ จะนำไปสู่การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการปลูกเห็ดหลินจือให้กับเกษตรกร และผู้เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศต่อไป สำหรับระบบฟาร์มแม่นยำ และการติดตั้งอุปกรณ์ IoT และเซ็นเซอร์ในพื้นที่แปลงเกษตร หรือโรงเรือน เพื่อทำหน้าที่วัดความชื้นในน้ำ ในอากาศ ในดิน วัดค่าอุณหภูมิ ชุดอุปกรณ์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ร่วมกับแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์มือถือ โดยส่งสัญญาณผ่านการเชื่อมต่อไร้สาย แจ้งผลเกษตรกรให้สามารถดูแลผลผลิตจากที่ใดก็ได้ในโลก เกษตรกรสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่แจ้งเตือนผ่านแอปได้อย่างเหมาะสม ทันท่วงที หากเกษตกรใช้งานโซลูชั่นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จะสามารถช่วยลดต้นทุนภาคการผลิตไปในตัว และมีข้อมูลสถิติที่จัดเก็บและเรียกใช้ได้อย่างเป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและพื้นที่การเกษตรได้ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตผลทางการเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ด้านนายบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคกล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวสืบเนื่องจากดีแทคมีความตั้งใจจริง และความมุ่งมั่นทุ่มเท ที่จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม องค์ความรู้ ทรัพยากรต่างๆ เพื่อช่วยยกระดับสังคมไทยในมิติต่างๆ โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำ และการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจของประเทศไทย ในภาคการเกษตรเป็นอีกมิติหนึ่งที่ดีแทคให้ความสำคัญมาโดยตลอด ผ่านโครงการเพื่อสังคม dtac Smart Farmer ซึ่งทำงานร่วมกับมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิดเริ่มตั้งแต่การส่งข้อมูลที่จำเป็นให้แก่เกษตรกร เช่น พยากรณ์อากาศ ราคาพืชผล ผ่านทาง SMS จนพัฒนามาถึงการทำแอปพลิเคชั่น Farmer Info ต่อยอดพัฒนามาเรื่อย ๆ มาถึง “ดีแทค ฟาร์มแม่นยำ” ให้เป็นฟาร์มต้นแบบโดยใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และควบคุมคุณภาพการเพาะปลูก ซึ่งได้มีการทดลองใช้กับ30 ฟาร์ม ใน 23 จังหวัด เห็ดหลินจือ พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง กับ โซลูชั่นฟาร์มแม่นยำมูลนิธิฯ ดีแทค และเนคเทค ได้ร่วมกันจัดทำโครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ กรณีศึกษา เห็ดหลินจือ ซึ่งเป็นแปลงฟาร์มวิจัยและสาธิต โดยเริ่มลงพื้นที่ศึกษาและวิจัยสำรวจสถานที่มาตั้งแต่ 1 พ.ค. 2562 จากนั้นได้นำเอาเทคโนโลยีไอโอที เซ็นเซอร์ และเครื่องมือตรวจวัดค่าที่จำเป็นเข้ามาประยุกต์ และศึกษาวิจัยโดยแบ่งเป็น 3 โรงเรือน คือ โรงเรือนควบคุม โรงเรือนที่ไม่ควบคุม และโรงเรือนแบบธรรมดา ว่าได้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันอย่างไร เนื่องจากมูลนิธิชัยพัฒนาเห็นว่า เห็ดหลินจือเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับส่งออกที่มีมูลค่าสูง ราคารับซื้อต่อกิโลกรัมอยู่ที่หลายหมื่นบาท ผลผลิตต่อโรงเรือนมากกว่า 100,000 บาท ดังนั้น ควรดึงเทคโนโลยีให้มาช่วยในการสร้างผลผลิต และที่ผ่านมาเห็ดหลินจือก็มีข้อจำกัดในการเพาะปลูก เนื่องจาก เห็ดหลินจือสามารถปลูกได้เพียงแค่ 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน แต่ในฤดูหนาวไม่สามารถทำได้ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยที่โรงเรือนจะต่ำลงเหลือเพียง 7-10 องศา ทำให้ดอกเห็ดไม่แตกออก และสปอร์เห็ดไม่ทำงาน ในขณะที่อุณหภูมิเหมาะสมในการเพาะปลูกอยู่ที่เฉลี่ย 15-28 องศา และเนื่องจากตัวโรงเรือนที่ไม่สามารถเข้า-ออกได้ตลอดเวลาอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการปนเปื้อน จึงได้ติดกล้อง CCTV เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของผลผลิตและดูว่ามีศัตรูพืชเข้ามากัดกินผลผลิตหรือไม่ และแม้การทำงานในพื้นที่นั้นทั้งเกษตรกรเองหรือผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจอย่างมากในผลผลิต มูลนิธิชัยพัฒนา จะเป็นผู้สนับสนุนดูแลและควบคุมกระบวนการผลิตเห็ดหลินจือในโรงเรือน ตลอดระยะเวลาการผลิต 2 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 จนถึงวันที่ 31ตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยจะเก็บข้อมูลปริมาณผลผลิตเห็ดหลินจือ และข้อมูลความเข้มข้นของสารสำคัญของเห็ดหลินจือในการปลูกแต่ละพื้นที่การปลูก ศึกษาต้นทุนและรายได้ ในการผลิตเห็ดหลินจือ โดยการใช้ระบบการควบคุมโรงเรือนอัตโนมัติ เปรียบเทียบกับกระบวนการปลูกแบบเดิม ประกอบด้วยการศึกษาปริมาณผลผลิตทุกช่วงการปลูกตลอดทั้งปี รายได้จากการปลูก ปริมาณสารสำคัญ ต้นทุนการผลิต ต้นทุนอุปกรณ์ ต้นทุนค่าแรง ต้นทุนสาธารณูปโภค และต้นทุนค่าบำรุงรักษา ร่วมกับนักวิจัยเนคเทค-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสกำหนดภารกิจหลัก บ.เอ็นที มุ่งขับเคลื่อน 5G เพื่อประโยชน์กับคนทุกกลุ่ม

กรุงเทพฯ 5 พ.ย. ดีอีเอส หนุนผุดบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ขับเคลื่อนการใช้ 5G ให้เกิดประโยชน์กับคนทุกกลุ่ม นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวใน งาน “CAT Network Showcase 2020” (ครั้งที่ 11) ว่า โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คำถามที่ท้ายคือท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรด้วยเครื่องมืออะไร กระทรวงดีอีเอส พร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลมีโครงการที่เกี่ยวกับดิจิทัลของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลกลางของภาครัฐ ที่นำไปสู่การใช้บิ๊กดาต้าเพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน  รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่พัฒนา การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในพื้นฐานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นความตั้งใจพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยเพื่อการปรับตัวของตัวเองเตรียมพร้อมสำหรับการแข็งแข่ง หน่วยราชการเอกก็เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน รวมไปถึงการควบรวมของบริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (เอ็นที) ที่จะเพิ่มศักยภาพในการแข็งขัน การควบรวมในครั้งนี้จะทำให้เกิดหน่วยงานใหม่ที่จะพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของ 5G ไปสู่ประชาชน เพราะ 5G จะต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่ม  ทุกจังหวัด ทุกเป้าหมาย ทุกอุตสาหกรรม เราจะเห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน กระทรวงดีอีเอสยืนยันจะพัฒนาเพื่อให้ประชาชนสามารถเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นประโยชน์มากำที่สุด การสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นประโยน์กับประชาชนอย่างมากที่สุด -สำนักข่าวไทย.

ไลน์เจาะตลาดขายของผ่านโซเชียลไทยโตกว่าร้อยละ 62

กรุงเทพ 4 พ.ย. ไลน์ ชี้ตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซไทยโตสูงกว่าเพื่อนบ้าน ไลน์ช้อปปิ้ง ชู ความสนุก สร้างการมีส่วนร่วมทำให้เกิดการซื้อผ่านโซเชียล นายเลอทัด ศุภดิลก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ Line ประเทศไทย กล่าวว่า LINE SHOPPING เปิดให้บริการในฐานะแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์มาเกือบ 2 ปี ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของ online shopper ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจุบันมีผู้ใช้งานเป็นประจำอยู่ที่ 3 ล้านคนต่อเดือน เป็นตัวเลขความสำเร็จที่น่าพอใจและยังมีโอกาสเติบโตได้อีก เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด -19 ผู้ใช้อินเตอร์เนตชาวไทยกว่าร้อยละ 83 หันมาซื้อของทางออนไลน์และ ร้อยละ 71 ซื้อของผ่านมือถือโดยเฉพาะการซื้อขายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น โดยข้อมูลปี 2020 ของ LINE ประเทศไทยที่ชี้ให้เห็นว่าในกลุ่มนักช้อปออนไลน์ชาวไทยร้อยละ 62 ซื้อผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ “ปัจจุบันไลน์ช้อปมีผู้ใช้อยู่ที่ 3 ล้านคน มีการค้นหาสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลเพิ่มถึง 3 เท่า เป็นเพิ่มทั้งยอดขายและมูลค่าสินค้าที่ซื้อ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากร้านค้าบนโซเชียลปิดการขายได้ดีกว่า เพราะผู้ขายกับผู้ซื้อสามารถพูดคุยตกลงกันได้ว่ายกว่า โดยอัตราการปิดการขายในไลน์อยู่ที่ร้อยละ 45 สิ่งที่ต้องทำถัดไป คือการทำให้ช่องทางโซเชียลเติบโตมากขึ้นโดยเน้นสินค้าที่มาจากโซเชียลเท่านั้น พร้อมทั้งนำเสนอสินค้าด้วยคอนเทนท์บันเทิง ทำให้คนซื้อคนขายมีส่วนร่วมกันมากขึ้น เป้าหมายของไลน์คือขึ้นเป็นผู้นำในโซเชียลคอมเมิร์ซภายใน 3 ปี โซเชียลคอมเมิร์ซเรามองเป็น 3 องค์ประกอบ คือ ความบันเทิง การมีส่วนร่วม และการซื้อขาย สินค้าที่คนซื้อผ่านแชทได้ เป็นสินค้าที่มีคนซื้อมาก ตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซของไทยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 62 มาากว่าเวียดนามที่อยู่ที่ร้อยละ […]

ช้อปพลัสชี้เทรนด์ไลฟ์สดขายสินค้ากำลังมาแรง

กรุงเทพฯ 4 พ.ย. ช้อปพลัส ชี้แนวโน้มไลฟ์สดขายสินค้าในไทยโตเร็วสุดในอาเซียนแตะร้อยละ 173 ชี้ผลโควิด-19 ดันการค้าออนไลน์ การไลฟ์สดกลายเป็นของยอดฮิตคาดเทศกาล 11.11 ทำยอดการค้าออนไลน์โต นางสาวคิมมี เฉิน ผู้จัดการทั่วไป ช้อปพลัส กล่าวว่า ช้อปพลัสเป็นบริษัทในเครือ iKalaผู้นำด้านการให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI สำหรับระบบจัดการร้านค้า การไลฟ์สดและการจัดคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ได้รวบรวมสถิติพบว่าการไลฟ์สดขายสินค้าในประเทศไทยเติบโตขึ้นมากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโดยอัตราการเติบโตของปริมาณคำสั่งซื้อในปี 2563  มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 116 โดยปรเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 173 นับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสิงคโปร์ มีอัตราการเติบโตร้อยละ 155 เวียดนาม ร้อยละ 101 และฟิลิปปินส์ มากกว่าร้อยละ 36 โดยยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่องทั้งนี้มูลค่าสินค้ารวม (GMV) หรือมูลค่าสินค้าที่ขายได้ทั้งหมดของร้านค้า โดยผู้ใช้บริการระบบไลฟ์สดของช้อปพลัส เติบโตขึ้นสามเท่าในช่วงครึ่งปีแรกหรือมากกว่าร้อยละ307 โดยสิงคโปร์ที่มียอดมูลค่าสินค้ารวมเติบโตสูงสุด ร้อยละ 678 รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ ร้อยละ309 และ ประเทศไทย ร้อยละ 212  จากข้อมูลสะท้อนว่าถึงความต้องการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นโดยมีนัยยะในการซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้นด้วย โดยแนวโน้มการไลฟ์สดขายสินค้าเป็นช่องทางที่นิยมเนื่องจากแบรนด์สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ดีที่สุด การไลฟ์ขายสินค้าไม่ได้หมายถึงการขายอย่างเดียวแต่เป็นการรีวิวการใช้สินค้า การนำเสนอวิธีการใช้สินค้า หรือภาพลักษณ์ความน่าสนใจของสินค้าไปยังผู้บริโภค ทั้งนี้พบว่าประสิทธิภาพการไลฟ์สดขายสินค้าบนเฟซบุ๊ก เริ่มตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้ายาวต่อเนื่องตลอดวัน ทั้งนี้ในเทศกาลวันที่ 11 เดือน 11 หรือ 11.11 ช้อปพลัสคาดว่าจะมีการซื้อขายสินค้าออนไลน์ตลอดทั้งวันจากการกระตุ้นของโครงการส่งเสริมการตลาดของผู้ขาย หรือแบรนด์สินค้าทั้งไทยและต่างประเทศที่เตรียมใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงผู้บริโภคโดยระบบได้ถูกเตรียมการให้รองรับการซื้อขายสินค้าต่อเนื่องทั้งวัน จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของช้อปพลัสยังพบว่า เทรนด์โซเชียลคอมเมิร์ซโดยเฉพาะไลฟ์คอมเมิร์ซ หรือการไลฟ์สดขายสินค้าจะได้รับความนิยมสูง จากสถิติในช่วงโควิด-19 เพราะผู้บริโภคร้อยละ 40 นิยมซื้อออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ โดยร้อยละ […]

นายกฯสั่งการดีอีเอสผุดเมืองอัจฉริยะอันดามัน

ภูเก็ต 3 พ.ย. นายกฯกำชับดีอีเอส เร่งพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะอันดามัน เน้นประโยชน์การท่องเที่ยวและธุรกิจ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายข้อสั่งการแก่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้นำเสนอโครงการ “Phuket Smart City” ว่าในการทำ City Data Platform อยากให้ขยายผลให้เต็มพื้นที่จังหวัดภูเก็ต กระบี่ และพังงา เพื่อให้เกิดภาพอันดามันสมาร์ทซิตี้ ทั้งนี้เพื่อให้แพลตฟอร์มดังกล่าวถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวต่อเนื่องถึงภาคเอกชน ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะภูเก็ต สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(ดีป้า) ร่วมมือกับบริษัท City Data Analytics ภายใต้บริษัทภูเก็ตพัฒนาเมือง ในการพัฒนาระบบ  City data platform ระบบในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ทั้งข้อมูลปัจจุบันจนถึงวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งข้อมูลมีความแม่นยำ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายมิติ เช่น ความปลอดภัย การท่องเที่ยว การบริหารจัดการเมือง ที่ดิน เป็นต้น ระบบจะประมวลผลและนำเสนอข้อมูลเพื่อให้นายกเทศมนตรี สามารถติดตามการทำงานและข้อมูลในมิติต่างๆ ของเมือง ผ่าน Dash Board รวมถึงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งมีการเชื่อมโยงข้อมูลจากกล้อง CCTV ซึ่งเริ่มใช้งานจริงแล้วในเทศบาลป่าตอง หากมีการทำครบทุกท้องถิ่น ก็จะได้ระบบ Data Platform ของทั้งจังหวัด ทั้งนี้ระบบดังกล่าว ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้ประสานข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวที่ตกค้างมีอยู่จุดไหนบ้าง จำนวนกี่คน และสถานพยาบาลใกล้เคียงในพื้นที่ เพื่อให้ทางโรงพยาบาลในพื้นที่เข้าไปดูแลได้ทันที  โดยมีการเตรียมความพร้อมเพื่อการเชื่อมต่อกับระบบมอนิเตอร์นักท่องเที่ยวบริเวณท่าเรือ รวมถึงต่อยอด หากนักลงทุนที่มีความสนใจร่วมลงทุนในพื้นที่ต่อไปในอนาคต-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสแจงปิดเว็บอนาจารทำตามหน้าที่

ภูเก็ต 3 พ.ย. “พุทธิพงษ์” ยืนยัน ปิดกั้นเว็บอนาจาร 191 URLs ทำตามคำสั่งศาล เพราะผิดกฎหมายเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ ไม่ได้รังแกใคร ชี้ เร่งปราบทั้งเว็บอนาจาร-พนันออนไลน์ บ่อนทำลายเยาวชนอนาคตของชาติ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณีมีคำสั่งศาลให้การปิดกั้นการเข้าถึงเว็บลามกอนาจารจำนวน 191 URLs  ว่า เป็นเว็บไซต์ที่ผิดกฏหมาย มีคนร้องเรียนมาจำนวนมาก  ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รวบรวมหลักฐาน ไป 190 กว่า URLs  มีการรวบรวมทยอยมาเรื่อยๆ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนการปิดเว็บปกติ แต่เนื่องจากเว็บอนาจารมาจากต่างประเทศ อาจจะเป็นเว็บที่ถูกกฏหมายในหลายประเทศ แต่ผิดกฏหมายไทย จึงใช้การปิดกั้นการเข้าถึงในไทย  ซึ่งเมื่อได้คำสั่งศาลแล้ว จึงส่งคำสั่งให้โอเปอร์เรเตอร์ และ ISP ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ทำการปิดการเข้าถึงในประเทศตามกฏหมายไทย ซึ่งในต่างประเทศยังเข้าได้ตามปกติ “เราบังคับใช้กฏหมาย ซึ่งเข้าใจในวิธีคิด ของทุกคน แต่ต้องขอความเห็นใจ ไม่ได้คิดเอง แต่เป็นการดำเนินการตามกฏหมาย ทำตามหน้าที่ โดยหน้าที่แล้วก็ต้องทำ โดยส่งศาลตามปกติ ไม่ได้ใช้อำนาจของตัวเอง หรือ ของกระทรวง  เราทำตามกฎหมาย”  นายพุทธิพงษ์ กล่าว รัฐมนตรีดีอีเอส ยังย้ำด้วยว่า เรื่องเว็บลามกอนาจารมีพ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงเยาวชน เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องเคร่งครัดตาม กฏหมาย ทำตามหน้าที่ เพราะกฏหมายไทยเป็นแบบนี้ และกระทรวงดิจิทัลฯ ต้องดูแลประชาชนโดยเฉพาะบุตรหลาน ที่เป็นอนาคตของชาติ ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เว็บลามกอนาจาร เรื่องเว็บพนันออนไลน์  เจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างจริงจังต่อเนื่อง ล่าสุด เว็บไซต์พนัน ได้ดำเนินการไปแล้วประมาณกว่า 2,000 เว็บไซต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการเข้าจับกุม นำผู้กระทำความผิดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ส่วนเว็บลามกอนาจารส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ จึงต้องปิดกั้นการเข้าถึงในประเทศเท่านั้น-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสย้ำเอาผิดกับคนสร้างความแตกแยกบนสื่อโซเชียล

พังงา 2 พ.ย. “พุทธิพงษ์” ยืนยัน ดำเนินการทางกฎหมายกับคนที่ใช้โซเชียลสร้างความสับสน แตกแยกในสังคม ย้ำทำอย่างเต็มที่เพื่อดูแลประชาชนไม่ให้รับผลกระทบจากข่าวบิดเบือน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์หลังการสัมมนา“สร้างการรับรู้ เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ครั้งที่ 3” จ.พังงา ว่า วันนี้มีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอมได้ง่าย  ไม่ทราบแหล่งข้อมูลที่มาที่ไป บางครั้งมีการนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นความจริงทำให้เกิดความสับสน กระทรวงดิจิทัลฯมีหน้าที่คัดกรองชี้แจงให้ประชาชนรู้ว่าข้อมูลไหนบิดเบือน โดยให้หน่วยงานต้นสังกัดรายงานชี้แจงข้อเท็จจริง ตอบกลับมาว่าข่าวนี้บิดเบือนหรือไม่ ภายใน 2 ชั่วโมง หากประชาชนไม่แน่ใจข้อมูลว่าจริงหรือไม่ เบื้องต้นวิธีที่ดีที่สุดคือไม่ต้องแชร์ ไม่ส่งต่อไป   ซึ่งตอนนี้พบว่ามีหลายเรื่องทั้งการค้าขาย,ภัยพิบัติ,การรักษาพยาบาล กระทรวงได้ประสานเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และประชาชนทุกภูมิภาคต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่าย หากมีข่าวปลอมเข้ามาต้องรีบออกมาแก้ไขชี้แจงให้เร็วที่สุด  ส่วนเรื่องการยื่นฟ้องแพลตฟอร์ม เรื่องการปิดกั้นหรือลบข้อมูลที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่ผิดกฎหมายก็จะรวบรวมส่งขอคำสั่งศาลปิดกั้น และแนบคำสั่งศาลส่งไปยังแพลตฟอร์มต่างประเทศ และหากเลยกำหนดระยะเวลา 15 วัน ยังไม่ดำเนินการถือว่าแฟลตฟอร์มต่างประเทศทำผิดกฎหมายไทย กระทรวงก็มีหน้าที่ต้องส่งสำนวนให้ทางตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  ซึ่งได้ทำไปหลายร้อยคดีแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล กล่าวทิ้งท้าวว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ทำงานอย่างจริงจังเต็มที่ที่สุดแล้ว ทั้งการรณรงค์ตรวจสอบ ติดตาม ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตั้งวอร์รูมติดตามทำตลอด 24 ชั่วโมง  ซึ่งไม่ได้จับผิดใครแต่ต้องการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน ไม่ให้รับข้อมูลที่บิดเบือนสร้างความเสียหาย ความแตกแยกให้กับสังคม ขอย้ำว่ากระทรวงดิจิทัล ทำงานหนักมาก ยิ่งช่วงที่มีสถานการณ์ในช่วงนี้-สำนักข่าวไทย.

นอสตร้าอัพเกรด9คุณสมบัติรองรับแนวโน้มบริการอีคอมเมิร์ซ

กรุงเทพฯ 2 พ.ย. นอสตร้าแมพ ชี้ 3 ปียอดผู้ใช้พุ่ง 110 เปอร์เซ็นต์ ชู 9 คุณสมบัติขยายฐานผู้ใช้เพิ่ม นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี กล่าวว่า NOSTRA Map API หรือบริการข้อมูลแผนที่ออนไลน์  สามารถตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายธุรกิจ พบผู้ใช้งานใน 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 110 เปอร์เซ็นต์ วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับตัวไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะใช้งานแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศโตขึ้นกว่าร้อยละ 35 รวมถึงพฤติกรรมการใช้บริการเดลิเวอรี เช่น บริการส่งอาหารในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาที่โตสูงก้าวกระโดดกว่า ร้อยละ150 นอกจากนี้ผู้คนในยุคนี้ยังมองหาความสะดวกสบาย และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อหรือพึงพอใจสูงสุด จากปัจจัยความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการ ธุรกิจหลายประเภทที่หันมาพัฒนาบริการนี้กันมากขึ้น โดยพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามียอดผู้ใช้งานบริการแผนที่ออนไลน์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ กลุ่มธุรกิจภาคบริการการจัดส่ง และธุรกิจซอฟต์แวร์ เพิ่มขึ้นจากลูกค้าหลักเดิมในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์  ทั้งนี้ NOSTRA Map API จะเข้าไปมีส่วนในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ในเรื่องความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าและบริการให้กับลูกค้าที่มองหาความรวดเร็วและสะดวกสบาย สามารถใช้การวิเคราะห์พื้นที่ให้บริการของแต่ละสาขา (Service Area) ช่วยวางแผนให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้ในการพิจารณาเปิดปิดสาขาให้เหมาะสมกับสภาพการแข่งขันในยุคอีคอมเมิร์ซได้ด้วย กลุ่มธุรกิจภาคบริการการจัดส่งสามารถใช้เครื่องมือช่วยวางแผนการจัดส่งหลายเที่ยวและจุดหมายหลายจุด เพิ่มประสิทธิภาพกับแอปพลิเคชันสร้างเส้นทางที่ดีที่สุดในการจัดลำดับการส่งล่วงหน้าให้กับพนักงานจัดส่ง และติดตามสถานะการขนส่งสินค้า ประหยัดต้นทุนและลดเวลาการทำงาน กลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์ สำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันให้กับธุรกิจต่างๆ การเชื่อมต่อกับระบบแผนที่จะช่วยให้ลูกค้าของธุรกิจสามารถค้นหาและนำทางได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น นายวิชัย กล่าวอีกว่า ล่าสุดนอสตร้าได้พัฒนา 9 คุณสมบัติเพิ่มเติมเพื่อเสริมศักยภาพการทำงาน ประกอบด้วย การค้นหาเส้นทางการเดินทางและให้คำแนะนำการเดินทางโดยรถบรรทุก (Truck Routing) การจัดลำดับเส้นทางเพื่อการขนส่งในกรณีส่งสินค้าหลายจุด (Finding the best Route) การจัดเส้นทางการเดินรถส่งของ หรือการจัดลำดับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ภายใต้เงื่อนไขการขนส่งต่างๆ เช่น จำนวนจุดส่งสินค้า จำนวนรถ เขตความรับผิดชอบ ปริมาณและขนาดสินค้า และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขนส่งสินค้า บริการปรับแก้ไขค่าตำแหน่งจากจีพีเอส ให้สอดคล้องกับเส้นทางการวิ่งที่ถูกต้อง (Road Snapping) ข้อมูลแสดงเส้นสถานะข้อมูลจราจร (NOSTRA Traffic) ครอบคลุมทั้งประเทศไทย บริการค้นหาขอบเขตการปกครอง (Administrative Boundary Search 7) การพัฒนาบริการค้นหาเส้นทาง (Routing Service) โดยคำนวณค่าทางด่วน และได้รับค่า Speed Limit บริการชั้นข้อมูลพิเศษเพิ่มเติม(Special Layers Service) ชั้นข้อมูลตำแหน่งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (Charger Station) และบริการข้อมูลพิเศษ (Special Contents Service) ข้อมูลพิเศษ (Extra Content) หมวด Parking ข้อมูลเหตุการณ์บนท้องถนน (จส.100) -สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสตั้งเป้าผุดศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ500แห่งปีหน้า

ภูเก็ต 2 พ.ย.รมว.ดีอีเอส เล็งตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 500 แห่งปีหน้า พร้อมกำชับหน่วยงานในสังกัดสนับสนุน  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวภายหลังเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชน วิทยาลัยชุมชนพังงา และโครงการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านไปรษณีย์ไทย (ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท) ว่า ปัจจุบันมีการตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศแล้ว 250 ศูนย์ ปี 2564 มีเป้าหมายที่จะตั้งอีก 250 ศูนย์ ให้ครบ500 ศูนย์ทั่วประเทศ  โดยศูนย์ฯจะรองรับการค้าขายออนไลน์ของชุมชน อำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเชื่อมต่อการขายผ่านเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทยได้ โดยเพื่อให้มีการกระจายสินค้าได้ทำโครงการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านไปรษณีย์ไทย (Thailandpostmart) ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  (ปณท)  โดยมีตัวแทนชุมชนจากหลายพื้นที่ของ จ.พังงา และผู้ผลิตสินค้าร่วมกันมานำเสนอสินค้า ที่ปัจจุบันวางจำหน่ายผ่าน e-Marketplace ของwww.Thailandpostmart.com  ได้แก่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านปริง ปณอ.พังงา 104 วิสาหกิจ ชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเขาตำหนอน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล ท่าปากแหว่ง และสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดพังงา นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ให้นโยบายกับหน่วยงานใต้สังกัดเพื่อช่วยเข้าไปช่วยเหลือให้ชุมชนทุกพื้นที่ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐครอบคลุมถึง ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ และสอดคล้องกับบริบทความต้องการของคนในชุมชน โดยในส่วนของการจำหน่ายสินค้าชุมขนออนไลน์ผ่านThailandpostmart จะมี ปณท เข้าไปช่วยสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชนทั่วประเทศ สร้างการเข้าถึงช่องทางการตลาด พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งใช้ศักยภาพของ ปณท ทั้งเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์กว่า 5,000 แห่ง พนักงานมากกว่า 40,000 คน ระบบการขนส่งที่ครอบคลุมและเข้าถึงทุกชุมชน เข้าไปสนับสนุน สำหรับ ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท หรือโครงการดิจิทัลชุมชนด้านอี-คอมเมิร์ซ ได้พัฒนาระบบงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ ใน 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาระบบร้านค้าออนไลน์ (e-Marketplace) ที่ทันสมัยเพื่อให้ชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนสามารถนำสินค้าหรือบริการมาขึ้นทะเบียนจำหน่ายบนเว็บไซต์www.thailandpostmart.com ที่ทำงานได้ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ แทบเล็ต คอมพิวเตอร์การพัฒนาระบบการชำระเงิน  (e-Payment) เพื่อรองรับธุรกรรมการชำระเงินจากผู้สั่งซื้อสินค้า และการจ่ายเงินค่าสินค้าให้กับผู้ประกอบการได้อย่างสะดวก ทันสมัย ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยปณท ได้มีพันธมิตรร่วมดำเนินการ ในเรื่องช่องทางการชำระเงิน (Payment Gateway) เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินได้ทุกช่องทาง และการพัฒนาระบบการขนส่ง (e-Logistics) พัฒนาระบบการแจ้งเตือนข้อมูลคำสั่งซื้อไปยังที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางและผู้จำหน่ายสินค้าเพื่อเตรียมการจัดส่งสินค้า วางเส้นทางและรูปแบบ วิธีการขนส่งสินค้าให้เหมาะกับสินค้าแต่ละประเภท เช่น ระบบการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ สำหรับการขนส่งผลผลิตการเกษตร อาหาร  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล กล่าวว่า ได้รับแนวนโยบายจากพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ประชาชนทุกพื้นที่เข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ต มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์  ที่ช่วยสนับสนุนทั้งด้านการศึกษาให้เด็กๆ  ให้กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน มาใช้ทำการค้าขายออนไลน์ และใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย

เอ็ตด้าเผยสถิติเรื่องร้องเรียนเพิ่มสูงเว็บหลอกขายของออนไลน์ครองแชมป์

กรุงเทพฯ 2 พ.ย. ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ รายงานสถิติปี 63 พบปัญหาออนไลน์พุ่งสูงเฉลี่ย 3,742 ครั้งต่อเดือนมากสุดคือ ปัญหาซื้อขายออนไลน์-เว็บไซต์ผิดกฎหมาย นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ (เอ็ตด้า) กล่าวว่า ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ 1212 OCC หรือ Online Complaint Center ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ รายงานการรับเรื่องร้องเรียนพบว่า มีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนผ่านช่องทางสายด่วน 1212, อีเมล 1212@mdes.go.th , เว็บไซต์www.1212occ.com และแช็ตบอต m.me/1212occ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 13 จำนวนรวมกว่า 44,907 ครั้ง เฉลี่ย3,742 ครั้งต่อเดือน  โดยปัญหาออนไลน์ที่พบมากที่สุดคือ ปัญหาการซื้อขายทางออนไลน์ จำนวน 20,300 ครั้ง รองลงมาคือ ปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย 24,209 ครั้ง ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ 90 ครั้ง ข้อสงสัยด้านกฎหมายไอซีที  57 ครั้ง และปัญหาอื่น อาทิ สอบถามข้อสงสัย 251 ครั้ง “หากพิจารณาประเด็นที่ร้องเรียนในปัญหาในแต่ละประเภท พบว่า ปัญหาการซื้อขายทางออนไลน์ เรื่องที่แจ้งหรือสอบถามเข้ามามากที่สุดคือ การสอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนและหลักฐานการแจ้งเรื่องร้องเรียน รองลงมาคือ ปรึกษาความน่าเชื่อถือของผู้ขาย, ไม่ได้รับสินค้า ถูกหลอกลวง ขณะที่ ปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง, ขอคำปรึกษาขั้นตอนการแจ้งเบาะแสเรื่องร้องเรียน, เนื้อหาลามกอนาจาร ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโปรแกรมไม่พึงประสงค์, ความพยายามบุกรุกเจาะระบบ, ความพยายามรวบรวมข้อมูลของระบบ ข้อสงสัยด้านกฎหมาย ICT ส่วนใหญ่เป็นเรื่องกฎหมายต่างๆ, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์” ผู้อำนวยการเอ็ตด้า กล่าว  นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบทำให้ห้างร้าน ศูนย์การค้าถูกปิดกิจการชั่วคราว เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต่างนำสินค้ามาขายบนโลกออนไลน์แทน ไม่เว้นแม้แต่สินค้าชุมชน การเกษตร จึงก่อให้เกิดปัญหาการซื้อขายทางออนไลน์มากขึ้น ทั้งจากความตั้งใจของผู้ขาย อันเนื่องจากมาจากพิษเศรษฐกิจ ที่ต้องหวังผลกำไรเป็นที่ตั้ง และความไม่ตั้งใจ จากความไม่ถนัด ขาดทักษะในการขายของออนไลน์ของผู้ขาย จากปัจจัยข้างต้นนับเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เอ็ตด้าโดย ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ1212 OCC ยกระดับการรับเรื่องร้องเรียนให้มากขึ้น โดยการพัฒนากรอบการทำงานเชิงรุก ให้เกิดเชื่อมโยงข้อมูลแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุ้มครองเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็ว พร้อมนำเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือ Social Listening มาใช้เป็นเครื่องมือในการฟังเสียงสะท้อน ความเคลื่อนไหว ข้อร้องเรียน หรือปัญหาบนสื่อสังคมออนไลน์จากผู้ใช้บริการและผู้บริโภคออนไลน์ เพื่อให้การเฝ้าระวังภัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น-สำนักข่าวไทย.

1 9 10 11 12 13 2,829
...