เกษตรฯ รับมือความมั่นคงทางอาหารจากสถานการณ์โลก

กรุงเทพฯ 20 ก.ค.- กระทรวงเกษตรฯ พร้อมรับมือสถานการณ์ความมั่นคงด้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลก แต่ยังมั่นใจว่า ผลผลิตแหล่งอาหารมีเพียงพอต่อประชากรในประเทศ พบส่งออกได้มากขึ้น พร้อมรับรองปฏิญญาความมั่นคงอาหารเอเปคร่วมกับสมาชิกเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจ


นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ได้วิเคราะห์สถานการณ์ด้านความมั่นคงอาหารที่หลายประเทศต่างวิตกกังวล โดยพบว่า ประชากรโลกเกือบ 200 ล้านคนกำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหาร ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปลายปี 2562 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล่าสุดคือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ถือเป็นการจุดชนวนให้เกิดผลกระทบเศรษฐกิจโลกหลายด้าน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีบทบาทด้านสินค้าเกษตร โดยมีสัดส่วนการส่งออกข้าวสาลีประมาณร้อยละ 30 ของการค้าข้าวสาลีทั่วโลก ยูเครนส่งออกน้ำมันดอกทานตะวันประมาณร้อยละ 50 ของโลกในขณะที่และรัสเซียส่งออกปุ๋ยประมาณร้อยละ 20 ของโลก ส่งผลให้ราคาพลังงานและปุ๋ยมีราคาสูงขึ้น ต่อมากลายเป็นกระแสผลักดันให้ประเทศผู้ผลิตอาหารออกนโยบาย “ห้ามส่งออก” เพื่อรักษาสมดุลอาหารเพื่อเลี้ยงคนในประเทศ 

ทั้งนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สั่งการให้ทุกหน่วยงานพร้อมรับมือวิกฤตดังกล่าว แต่จากการประเมิน มั่นใจว่า ไทยมีผลผลิตเพียงพอต่อประชากรในประเทศ ทั้งกลุ่มสินค้าคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีนได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ ขณะที่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่สำคัญของอุตสาหกรรม ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง ซึ่งไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้า ดังนั้น ไทยจึงต้องขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความมั่นคงอาหารทั้งระบบ ผ่านกลไกคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ 


สำหรับวันที่ 26 สิงหาคมนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคครั้งที่ 7 (The 7th APEC Virtual Food Security Ministerial Meeting) ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภูมิภาค และจะมีการรับรองปฏิญญาความมั่นคงอาหารเอเปคร่วมกับสมาชิกเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งไทยจะผลักดันประเด็นหลักที่จะช่วยสนับสนุนนโยบายความมั่นคงด้านอาหารและครัวไทยสู่ครัวโลก

ขณะนี้ สศก. ประเมินว่า ไทยสามารถใช้วิกฤตการณ์กลายเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยจากข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรปี 2565 ช่วง 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม) เทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปโลกเพิ่มขึ้นจาก 5.48 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 6.91 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 142,986 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 กลุ่มสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียน ข้าว ยางธรรมชาติ ไก่ปรุงแต่ง อาหารสุนัขหรือแมวปรุงแต่ง ปลาทูน่ากระป๋อง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง น้ำยางธรรมชาติ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารปรุงแต่งอื่น ๆ (เช่น เต้าหู้ แอลกอฮอล์ผง และครีมเทียม) 

จากการที่ไทยยังคงรักษาการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรได้เป็นอย่างดี และได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรอาหารและอาหารแปรรูปสูงขึ้น เพราะสภาพภูมิประเทศเอื้อต่อการทำเกษตรกรรม สามารถผลิตเพื่อบริโภคและส่งออกได้ดีจึงมีความมั่นคงในด้านอาหารระดับหนึ่ง


นายฉันทานนท์กล่าวต่อว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกันทั้งระบบ (BIG DATA) โดยได้มอบหมาย สศก. ดำเนินการจัดทำปฏิทินผลผลิตสินค้าเกษตรรายเดือนระดับจังหวัด (Provincial Crop Calendar) เพื่อคาดการณ์ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรแบบรายชนิดสินค้าที่จะออกสู่ตลาดเป็นรายเดือนตลอดปี เพาะปลูกล่วงหน้าในแต่ละจังหวัด อำเภอ และตำบล รวมทั้งจะทำให้ทราบปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัดด้วย ซึ่งจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการได้ทั้งระบบทั้งในภาวะปกติ และภาวะวิกฤต

หากพิจารณาภาพรวมการผลิตสินค้าเกษตร รวมทั้งความต้องการใช้ในประเทศและการส่งออกสินค้าเกษตรหลักที่ให้คุณค่าทางโภชนาการ จะเห็นได้จากกลุ่มสินค้าสำคัญ ๆ ประกอบด้วย แหล่งคาร์โบไฮเดรตคือ สินค้าข้าว โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไทยมีปริมาณผลผลิตข้าวสารเฉลี่ยปีละ 20.67 ล้านตัน มีความต้องการใช้เฉลี่ย 12.27 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 6.48 ล้านตัน 

ขณะที่มันสำปะหลังโรงงาน มีปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังโรงงาน เฉลี่ย 31.72 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้หัวมันสดเฉลี่ย 11.83 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกมันเส้น มันสำปะหลังอัดเม็ด แป้งมันสำปะหลังเฉลี่ย 6.67 ล้านตัน แหล่งไขมัน ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน ไทยมีปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันเฉลี่ย 16.52 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเฉลี่ย 1.25 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มเฉลี่ย 489,427 ตัน แหล่งโปรตีน ได้แก่ ไข่ไก่ ไทยมีปริมาณผลผลิตไข่ไก่เฉลี่ย 14,970 ล้านฟอง โดยมีความต้องการใช้เฉลี่ย 14,720 ล้านฟอง และปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 250 ล้านฟอง ไก่เนื้อ ไทยมีปริมาณผลผลิตไก่เนื้อเฉลี่ย 2.63 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้เฉลี่ย 1.57 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 903,584 ตัน สุกรไทยมีปริมาณผลผลิตสุกรเนื้อเฉลี่ย 1.92 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้เฉลี่ย 1.34 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรเฉลี่ย 23,168 ตัน จะเห็นได้ว่าปริมาณผลผลิตพืชและปศุสัตว์ที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ มีปริมาณเพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มสินค้าในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมหลายประเภท ทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร อุตสาหกรรมสกัดน้ำมัน และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ที่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้า โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว กัมพูชา เมียนมา ส่วนถั่วเหลืองนำเข้าจากบราซิลและอเมริกา ประกอบกับ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ทำให้เกิดการขาดแคลนพืชวัตถุดิบ  

ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้มีมาตรการ ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น ซึ่งข้าวโพดและข้าวสาลี ส่วนใหญ่ใช้เป็นแหล่งพลังงานในสูตรอาหารสัตว์กระเพาะเดี่ยว (ไก่เนื้อ ไก่ไข่ ไก่พื้นเมือง และสุกร) กรมปศุสัตว์จึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเพิ่มการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สามารถผลิตได้เองภายในประเทศในสูตรอาหารสัตว์ เช่น การใช้ข้าวกะเทาะเปลือกหรือมันสำปะหลังในสูตรอาหาร เพื่อทดแทนข้าวโพดและข้าวสาลี เพื่อให้เกษตรกรได้เลือกสูตรอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และเศรษฐกิจ เช่น สามารถใช้ข้าวกะเทาะเปลือกแทนข้าวโพดหรือข้าวสาลีในสูตรอาหาร โดยได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สูตรอาหารสัตว์ 90 สูตร (สูตรอาหารสัตว์กระเพาะรวม (โค กระบือ แพะ แกะ) 75 สูตร และ สัตว์กระเพาะเดี่ยว (ไก่ สุกร เป็ด) 15 สูตร ผ่านสื่อออนไลน์ รวมทั้งสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นเป็นส่วนผสมและผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง โดยให้บริการยืมเครื่องกลด้านอาหารสัตว์ (Motor Pool) และศูนย์บริการอาหารสัตว์กรมปศุสัตว์ (Feed Center) ตลอดจนมีทีมหน่วยบริการจัดการอาหารสัตว์เคลื่อนที่ “Feeding Management Mobile Unit (FMMU)” ให้คำแนะนำการจัดการด้านอาหารสัตว์ เพื่อการจัดการอาหารสัตว์ที่มีความแม่นยำ (precision feeding) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 1-2 บาท/กิโลกรัม โดยสามารถขอรับบริการได้ที่สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ทั้ง 33 แห่ง

สำหรับมาตรการระยะยาว (ปี 2565–2567) ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์และถั่วเหลือง เพื่อทดแทนการนำเข้า โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ส่งเสริมและผลักดันให้สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการผลิตข้าวโพดหลังนาเพื่อทดแทนการขาดแคลนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คุณภาพในประเทศ ได้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้พื้นที่หลังจากการทำนาเพื่อปรับสมดุลของปริมาณการผลิตข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในการลดรอบการปลูกข้าว ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลอุปสงค์ อุปทาน เพื่อลดปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาผลผลิตตกต่ำ และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรต่อไป และ สศก. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับ ดูแล เมล็ดถั่วเหลือง ได้ส่งเสริมผลักดันการปลูกถั่วเหลืองในประเทศ โดยขอความร่วมมือจากผู้มีสิทธินำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง รับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากเกษตรกรตามชั้นคุณภาพ และเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์การเกษตร/วิสาหกิจชุมชน โดยผู้มีสิทธินำเข้ายินดีที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรวบรวมผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองให้กับสหกรณ์การเกษตร/วิสาหกิจชุมชน ที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 เพิ่มขึ้นอีกกิโลกรัมละ 1 บาท ในทุกชั้นเกรดคุณภาพอีกด้วย รวมถึงคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และมี สศก.เป็นฝ่ายเลขานุการ พร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตถั่วเหลืองของไทยรองรับกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนความมั่นคงด้านอาหาร สิ่งที่ต้องคำนึง คือ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) Availability : อาหารเพียงพอ 2) Access : การเข้าถึงอาหาร 3) Stability : เสถียรภาพด้านอาหาร 4) Utilization : การใช้ประโยชน์จากอาหาร ซึ่งแน่นอนว่า ประเทศไทย มีการผลิตอาหารที่พอเพียง ส่วนประเด็นการเข้าถึงอาหาร พบว่า ยังมีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงอาหาร ด้วยการสร้างระบบอาหารชุมชนหรือธนาคารอาหาร (Food Bank) สนับสนุนเครือข่ายเพื่อการแลกเปลี่ยน/เข้าถึงอาหาร โดยเฉพาะในกรณีมีภัยพิบัติ ขณะที่มาตรการในการส่งเสริมการส่งออก ควรมีการเจรจาขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ จัดทำความตกลงความร่วมมือทางการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ เช่น FTA ไทยและ EU รวมทั้งเร่งส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังตลาดที่มีความต้องการนำเข้า จากช่วงวิกฤตที่บางประเทศมีการจำกัดการส่งออกสินค้าวัตถุดิบอาหาร.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย