กรุงเทพฯ 22 ก.ค. – KKP research ปรับ GDP ลงเหลือ 0.5% จาก 1.5% คาดล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือน เสี่ยงทำไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกปี ขณะที่ EIC ปรับ GDP ปีนี้ ลงจากเดิม 1.9% มาอยู่ที่ 0.9%
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 อาจมีแนวโน้มยืดเยื้อ ไม่จบได้เร็วแบบเดียวกับปีก่อน ทั้งจากไวรัสที่ระบาดเป็นสายพันธุ์ใหม่ คือ สายพันธุ์เดลต้าที่มีความสามารถในการระบาดสูงกว่าเดิมมาก ประกอบกับมาตรการล็อกดาวน์ที่เริ่มต้นช้า นโยบายจำนวนการตรวจโรคที่เป็นข้อจำกัด และสัดส่วนของคนที่มีภูมิคุ้มมีน้อยมากจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ทำได้ช้า และวัคซีนมีประสิทธิผลในการป้องกันต่อเชื้อเดลต้าต่ำ
KKP Research ประเมินว่าการระบาดระลอกปัจจุบันของไทย จะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือน กว่าจะบรรเทาความรุนแรงลง ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการบริโภคและการลงทุนลดลงช่วงไตรมาส 3 ส่งผลให้การเติบโตของการบริโภคทั้งปีติดลบ และกระทบต่อการคาดการณ์ GDP ในปี 2021 จาก 1.5% เหลือเพียง 0.5% แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ดีขึ้นก็ตาม เมื่อนับรวมกับตัวเลขการคาดการณ์ GDP ในปี 2022 ที่ 4.6% ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้รวมกับปีหน้าที่ระดับ 5.1% ไม่เพียงพอชดเชยการหดตัวของเศรษฐกิจในปี 2020 ที่หดตัวลง 6.1% และเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ในการกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด -19 และหากจำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์ที่ยาวนานกว่าสามเดือน หรือต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่มีข้อจำกัดมากขึ้น จะกระทบภาคการผลิตและการส่งออก ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบเพิ่มเติมอีก -1.3% และทำให้เศรษฐกิจในปีนี้หดตัวลง 0.8% อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ขณะนี้ ประเมินว่า การแพร่ระบาดอาจยาวนานต่อเนื่องอีก 6 เดือน
ด้าน ศูนย์วิจัยอีไอซี (EIC หรือ Economic Intelligence Center) ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2021 ลงจากเดิม 1.9% มาอยู่ที่ 0.9% เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายตัวในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภคค่อนข้างมาก ทั้งจากมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดขึ้น (ล็อกดาวน์) ความกังวลของประชาชนในการใช้จ่ายภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น (Fear Factor) และแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกขึ้น (Scarring) ขณะที่เม็ดเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่ออกมายังไม่เพียงพอและทั่วถึง จึงช่วยบรรเทาผลกระทบได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
การบริโภคภาคเอกชนจะถูกกระทบค่อนข้างรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 3 ก่อนฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในช่วงปลายปี โดยการระบาดในประเทศที่อยู่ในภาวะวิกฤติ จำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้นงต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนที่มีความล่าช้ากว่าแผน และมีประสิทธิภาพน้อยลงในการป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ที่มีอัตราการแพร่ระบาดสูง จึงทำให้ EIC คาดว่าจะต้องใช้เวลาถึงช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะปรับลดลงต่ำกว่า 100 ราย/วัน ซึ่งใช้เวลากว่า 8 เดือนนับตั้งแต่มีการระบาดในเดือนเมษายน จากคาดการณ์เดิมที่ใช้เวลา 4 เดือน โดยมีแนวโน้มสร้างความเสียหายต่อการบริโภคภาคเอกชนกว่า 7.7 แสนล้านบาท (ราว 4.8% ของ GDP) ส่วนการส่งออกคาดการณ์อยู่ที่ 15.0% และปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เหลือ 3 แสนคน จากเดิม 4 แสนคน
EIC มองว่ามาตรการภาครัฐที่ออกมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เพียงพอทั้งในเชิงพื้นที่ ระยะเวลา และปริมาณเงินรวม มาตรการชดเชยรายได้แรงงานและผู้ประกอบการล่าสุดที่ครอบคลุมแค่จังหวัดที่โดนล็อกดาวน์และชดเชยเพียง 1 เดือน จึงไม่น่าเพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้ โดย EIC คาดว่าในกรณีฐาน ภาครัฐจะออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากปัจจุบันอย่างน้อยอีกราว 1.5 แสนล้านบาท รวมเป็นใช้เม็ดเงินจาก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ราว 2 แสนล้านบาทในปีนี้ และภาครัฐอาจพิจารณาการใช้จ่ายเพิ่มเติมหากการระบาดยืดเยื้อกว่าที่คาด.-สำนักข่าวไทย