กรุงเทพฯ 1 ก.พ. – EEC เป้าปี 64 ยอดลงทุน 3 แสนลบ.โต 50% ส่งมอบพื้นที่รถไฟ 3 สนามบินใน ก.ย. นี้
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 1/2564 ว่า ในปี 2564 รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการขอรับส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) วงเงินรวม 3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2563 ที่มียอดผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 2.08 แสนล้านบาท จำนวน 453 โครงการ คิดเป็น 43% ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ โดยลดลงจากปี 62 เนื่องจากผลกระทบการระบาดโควิด-19
สำหรับการลงทุนปี 2563 เป็นการลงทุนจากต่างประเทศรวม 1.15 แสนล้านบาท คิดเป็น 55% ของมูลค่าขอรับส่งเสริมทั้งหมดใน อีอีซี โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนใน อีอีซี สูงสุด มูลค่าการลงทุน 50,455 ล้านบาท คิดเป็น 44% และอันดับสองเป็นนักลงทุนจากจีน มูลค่าการลงทุน 21,831 ล้านบาท ด้านความคืบหน้า โครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนใน อีอีซี ในปี 2563 จาก 453 โครงการ ได้อนุมัติคำขอแล้ว 292 โครงการ คิดเป็น 64% ออกบัตรส่งเสริมแล้ว 172 โครงการ คิดเป็น 59% และได้เริ่มโครงการแล้ว 79 โครงการ คิดเป็น 46%
ทั้งนี้ เดินหน้าระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) ช่วยเกษตรกรรายได้มั่นคง ผลไม้ไทยแข่งขันได้ทั่วโลก โดยได้ลงนาม MOU การจัดทำระบบห้องเย็น เกิดความร่วมมือ 3 ฝ่าย คือ สกพอ. วางกลไกบริหาร ประสานเอกชน ผู้นำท้องถิ่น สหกรณ์ พร้อมพัฒนาการแปรรูป ประมูลสินค้า และการส่งออก สร้างรายได้สูงสุดตรงสู่เกษตรกร ปตท. ลงทุนระบบห้องเย็นขนาด 4,000 ตัน ด้วยเทคโนโลยีคงคุณภาพผลไม้ให้เหมือนเก็บจากสวน ยืดอายุ ไม่ต้องรีบส่งขาย และ กนอ. จัดหาพื้นที่บริเวณสมาร์ทปาร์ค มาบตาพุด โดยระบบห้องเย็น จะนำร่องด้วย ทุเรียน และผลไม้อื่น ๆ ต่อยอดไปยังอาหารทะเล ที่จะช่วยรักษาความสดใหม่ ให้เกษตรกรขายได้ตลอดปี มีรายได้มั่นคง สม่ำเสมอ ผลไม้ไทยแข่งขันได้ทั่วโลก พร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางตลาดผลไม้โลก ขับเคลื่อน 4 แนวทาง “ศึกษาตลาด วางระบบการค้า-พัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ ห้องเย็นทันสมัย จัดระบบสมาชิก” พร้อมทั้งการขับเคลื่อน EFC จะยกระดับภาคเกษตรไทย โดยนำเทคโนโลยีทันสมัยช่วยสนับสนุน การค้า การขนส่ง การเพาะปลูก ผลผลิตตรงความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ เร่งฝึกอบรมสร้างบุคลากร เสริมมาตรการเยียวยาภาครัฐ บรรเทาสถานการณ์โควิด 19 โดยมาตรการเยียวยาภาครัฐที่ดำเนินการไปแล้ว ครอบคลุมกว่า 1.2 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของวัยทำงานใน อีอีซี โดยในอนาคตจะมีนโยบายที่เน้น มุ่งเป้าเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบแรงจากโควิดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมมาตรการเยียวยาภาครัฐในการฟื้นฟูและเพิ่มศักยภาพของประชากรในพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยการพัฒนาทักษะบุคลากรแบบ Demand driven (EEC model) เป็นหนึ่งในกลไกเสริมมาตรการเยียวยาภาครัฐจากผลกระทบโควิด เพื่อสนับสนุนให้แรงงานมีรายได้ ช่วยสร้างแรงจูงใจให้บริษัทยังคงการจ้างงาน ซึ่งได้ดำเนินการเพิ่มเติม 3 โครงการ อีกกว่า 12,220 คน ซึ่งจะทำให้ภายในปี 2565 อีอีซีจัดการพัฒนาทักษะบุคคลากร รวมทั้งสิ้นได้กว่า 91,846 คน
ขณะเดียวกันร่วมมือพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) แหลมฉบัง ก้าวสู่ศูนย์กลางขนส่งสินค้านานาชาติ เพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย ให้เป็นโครงข่ายการขนส่งสินค้า เปิดประตูการค้าให้ สปป. ลาว ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และสนับสนุนโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โดยพัฒนาท่าเรือบกให้เป็นโครงข่ายเชื่อมโยงขนส่งสินค้า จากประเทศจีน สปป.ลาว และประเทศไทย ขับเคลื่อนท่าเรือแหลมฉบังก้าวสู่ศูนย์กลางการค้า การบริการ และการลงทุนโดยเฉพาะด้านระบบโลจิสติกส์ที่จะเชื่อมโยงกับนานาชาติ โดยความร่วมมือศึกษาการพัฒนาท่าเรือบก จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2564 นี้
ทั้งนี้ ที่ประชุม กบอ. รับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยการรื้อย้ายสาธารณูปโภค เพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้าง พร้อมสามารถส่งมอบพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 และการส่งมอบพื้นที่เวนคืน อยู่ในขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขายโดย รฟท. ซึ่งจะส่งมอบพื้นที่อย่างช้าภายในเดือนกันยายน 2564 . – สำนักข่าวไทย