กรุงเทพฯ 15 ธ.ค.-“บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร” ผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 15 เผยหลักบริหาร “ยืดหยุ่น ทันการณ์ ประสานประโยชน์” ขับเคลื่อน กฟผ. สู่ผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจรในยุคดิสรัปชั่น ไฟฟ้า”มั่นคง-ไม่แพง”
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมทีมผู้บริหาร กฟผ. แถลงทิศทางการดำเนินงาน หลังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. คนที่ 15 ว่า
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการใช้ไฟฟ้า รวมถึงรูปแบบการผลิตไฟฟ้าซึ่งถูกกำหนดโดยผู้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น กฟผ. จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในยุค New Normal ปรับวิธีคิดและการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “EGAT for ALL” หรือ กฟผ. เป็นของทุกคน และทำเพื่อทุกคน
นอกจากการผลิตและส่งไฟฟ้าเพื่อรักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศแล้ว ต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความหลากหลายในยุคดิสรัปชั่น โดยตั้งเป้าเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานอย่างครบวงจร (Energy Solutions Provider) ด้วยหลักการบริหารแบบ “ยืดหยุ่น ทันการณ์ ประสานประโยชน์” ผลักดันงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่บ การพัฒนาโรงไฟฟ้าตามแผน PDP2018 Rev.1 มุ่งเน้นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น โรงไฟฟ้าดิจิทัล (Digital Power Plant) ช่วยลดต้นทุนการผลิต พัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบผสมผสาน อาทิ โครงการโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อน การผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมร่วมกับเซลล์เชื้อเพลิง โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ
“ ในแผน พีดีพี ฉบับปัจจุบัน กฟผ.จะลงทุน 1 ล้านล้านบาท จนถึงปี 2579 แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าร้อยละ 60 สายส่งไฟฟ้า ร้อยละ 40 ซึ่งโรงไฟฟ้าใหม่จะยังลงทุนหรือไม่ คงต้องรอดูการปรับแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ด้วย และ กลุ่ม กฟผ. ทั้ง RATCH ,EGCO จะร่วมกันลงทุนครบวงจรด้านก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ตั้งเป้าจะลงทุนในแหล่งผลิตแอลเอ็นจี ใน4 ปีข้างหน้า และ ทยอยนำเข้าแอลเอ็นจีตามแผน 3 ปีนี้ (64-66 ) นำเข้า 1.9,1.8 และ 1.8 ล้านตัน/ปี ตามลำดับ ซึ่งแผนทั้งหมด เป้าหมายคือ ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าถึงประชาชนต่ำที่สุด และยังเดินหน้าแผนนำเข้าแบบ FSRU รวมถึงร่วมมือกับ ปตท. ในการวางโครงสร้างพื้นฐานนำเข้าแอลเอ็นจีป้อนโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี” นายบุญญนิตย์ กล่าว
ด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน (Grid Connectivity) ยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางซื้อขายพลังงานของภูมิภาค และปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าในประเทศให้มีความมั่นคงแข็งแรง โดยในปี 2564 เร่งสร้างสายส่งไฟฟ้า 230 กิโลโวลต์ เชื่อมโยงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (วัฒนานคร จ.สระแก้ว – พระตะบอง 2 กัมพูชา) เพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าปริมาณ 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 ตลอดจนการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) รองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าหลัก ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประเทศ (RE Forecast Center) ซึ่ง สามารถพยากรณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ละเอียดในระดับราย 30 นาที จนถึงในอีก 7 วันถัดไปได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งนำร่องศูนย์สั่งการการดำเนินการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response Control Center) เชื่อมต่อกับระบบของ กฟน. และ กฟภ. เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการตอบสนองทางด้านโหลดในภาพรวมของประเทศ ปรับปรุงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) มีความพร้อมจ่ายสูง โดยเริ่มนำร่องที่โรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 4 แล้ว ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งพัฒนาแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และสถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพไฟฟ้าในพื้นที่ที่มีพลังงานหมุนเวียนเชื่อมต่อเข้าระบบไฟฟ้าปริมาณมาก
ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวด้วยว่า กฟผ. จะไม่เดินเพียงลำพัง จะแสวงหาพันธมิตรร่วมเป็นคู่ค้าเพื่อสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ ขยายธุรกิจบำรุงรักษาสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ กฟผ. ยังเตรียมบุกธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้แก่ สถานีอัดประจุไฟฟ้า, เครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว (EGAT DC Quick Charger) ขนาด 100 กิโลวัตต์, ธุรกิจสมาร์ทอีวีชาร์จเจอร์ขนาดเล็กแบบครบวงจรภายใต้แบรนด์ Wallbox, ชุดดัดแปลงสภาพรถยนต์ให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Kit), ธุรกิจแบตเตอรี่อัจฉริยะ (Batt 20C) สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว, ธุรกิจซื้อขายเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC)
ทั้งนี้ กฟผ. ยังมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมต่อยอดการดูแลสังคมอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “CSR for ALL เติบโตด้วยกันอย่างยั่งยืน” ทั้งในมิติเศรษฐกิจ (Prosperity) จากโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาคที่อยู่อาศัย ต่อยอดสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มการบริหารจัดการไฟฟ้าแบบครบวงจร เช่น การออกแบบมาตรฐานอุปกรณ์ไฟฟ้า การจัดการใช้ไฟฟ้าผ่านแอพพลิเคชั่น การให้คำปรึกษาด้านพลังงาน ส่วนในมิติสังคมและชุมชน (People) จากการพัฒนาชุมชนแบบยั่งยืนด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการชีววิถี โครงการห้องเรียนสีเขียว ต่อยอดสู่โคก หนอง นา โมเดลวิถีใหม่ตามศาสตร์พระราชา และพัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชนผ่านการสนับสนุนการท่องเที่ยวและสินค้าชุมชน สำหรับมิติสิ่งแวดล้อม (Planet) จากโครงการปลูกป่าและการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก ต่อยอดสู่นวัตกรรมดูแลคุณภาพอากาศ EGAT Air TIME ได้แก่ การปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Tree) นวัตกรรมสีเขียว (Innovation) การติดตามคุณภาพอากาศ (Monitoring) และการถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างความตะหนักในการดูแลคุณภาพอากาศ (Education & Engagement) -สำนักข่าวไทย