ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 22 พ.ย. – FETCO ค้านแนวคิดกองทุนใหม่ แนะแยกวงเงินลงทุน เน้นตอบโจทย์การออมระยะยาว สร้างเสถียรภาพตลาดทุนไทย
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าอาจจะมีการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณากองทุนที่จะมาใช้แทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยยังไม่ได้มีการนัดหมายและระบุวันที่ชัดเจน
ทั้งนี้ กรณีที่มีกระแสข่าวว่ารูปแบบกองทุนรวมใหม่ที่จะมาทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่จะหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษีในสิ้นปีนี้ โดยเบื้องต้นมีเป้าหมายต้องการเน้นส่งเสริมการออมระยะยาวให้เข้าถึงประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้สูงวัยและกลุ่มคนวัยทำงาน จากเดิมที่มีเพียงกองทุน LTF และ RMF จึงต้องการขยายให้รอบด้านมากขึ้นนั้น ส่วนตัวค่อนข้างไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดที่ออกมา ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยที่จะนำวงเงินลงทุนในกองทุนใหม่ และ RMF มารวมกัน ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี โดยไม่มีการขยายฐานเพดานการลงทุน เพราะทั้งสองกองทุนมีวัตถุประสงค์การออมที่แตกต่างกัน โดยกองทุนใหม่ทดแทน LTF ควรเป็นกองทุนการออมที่เน้นการออมระยะยาวในตลาดหุ้น เพื่อการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนในตลาดหุ้นแบบระยะยาว พร้อมเห็นว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงจูงใจทางภาษีเข้ามาช่วย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังนิยมการลงทุนระยะสั้นๆ ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีกับนักลงทุนเองและไม่ได้เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นโดยรวมด้วย
ทั้งนี้ที่ผ่านมา กองทุน LTF ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ในระดับหนึ่งในการสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุน มีเม็ดเงินระยะยาวคอยป้อนเข้ามา สามารถลดความผันผวนในระยะยาวได้ และหากกระทรวงการคลังจะออกกองทุนมาเพื่อเน้นให้คนออมเพื่อเกษียณอายุ เพื่อตอบโจทย์เรื่องสังคมสูงวัยของประเทศไทย ถือเป็นอีกวัตถุประสงค์หนึ่ง โดยจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามาออมด้วยความสมัครใจ
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ย้ำว่า ตนไม่ได้ติดใจในหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอายุการถือครอง จากเดิมต้องถือครอง 7 ปีปฏิทิน เป็น 10 ปี และอัตราส่วนการลงทุนที่กองทุนใหม่จะต้องลงในโครงสร้างพื้นฐาน 50 % และอีก 50 % จะต้องลงทุนในหุ้นยั่งยืนใน SET แต่อยากจะขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาแยกวงเงินการลงทุนของกองทุนใหม่ โดยไม่นำไปรวมกับ RMF เพราะมันตอบโจทย์การออมคนละประเภท และอยากให้คำนึงถึงเสถียรภาพของนักลงทุนระยะยาวในตลาดทุนบ้านเราด้วย ซึ่งอยากให้คนไทยได้มีโอกาสเข้ามาออมในตลาดทุนกันให้มากขึ้น ซึ่งหากนำผลผลตอบแทนการออมระยะสั้นและระยะยาวมารวมกันจะส่งผลดีกับตัวผู้ออมเอง. – สำนักข่าวไทย