กรุงเทพฯ 23 ต.ค.61 – นักวิชาการแนะ
เร่งเครื่องหนุน รัฐบาลดิจิทัล เพิ่มทักษะดิจิทัล ป้องกัน การละเมิดลิขสิทธิ์ หากหยุดนิ่งประเทศแซงหน้า
แม้อันดับความสามารถดิจิทัล ปี 61 ไทยขยับขึ้น จาก 41 เพิ่มเป็น 39
หลังจากสถาบัน International Institute for
Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์
ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ประจำปี 2561 ในปี
2561 ของ 63 ประเทศทั่วโลก โดยสหรัฐอเมริกาครองอันดับ
1 ขยับขึ้นจาก 2 อันดับ 2 สิงคโปร์ หล่นลงจาก 1 อันดับ 3 สวีเดน
ตกลงมา 1 อันดับ เดนมาร์ก ได้อันดับ 4 ขยับขึ้น
1 อันดับ อันดับที่ 5 สวิตเซอร์แลนด์ ขยับขึ้นมาถึง
3 อันดับ จากปีที่แล้ว ขณะที่ไทยคว้าอันดับ 39 ดีขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ และเป็นที่ 3 ของอาเซียน
นายดนุวัศ สาคริก นักวิชาการประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวว่า การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของ
63 ประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้ มี 5 ชาติมาจากอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย
ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย
ไทยเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่อันดับขยับขึ้นจากเดิมจาก 41 ขึ้น มาเป็น
39 ขณะที่สิงคโปร์เคยได้แชมป์ ปีก่อน ในปีนี้หล่นลงมาอยู่อันดับ 2 มาเลเซียจากอันดับ
24 ลงมาอันดับที่ 27 อินโดนีเซียอันดับ 62 เกือบสุดท้าย
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เพื่อสร้างความสามารถแข่งขันในโลยุคดิจิทัล
จากอันดับ 30 ในปีที่แล้ว ขยับขึนเป็น 28 ส่วนความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
อันดับลดลงมากจาก 45 เป็น 49 ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งเครื่องพัฒนาเพิ่มเติม รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ประเด็นแรก คือ e-government หรือ
รัฐบาลดิจิทัล เพราะยังคงอยู่อันดับที่ 55 เท่ากับปีที่แล้วจาก 66 ประเทศ ทั่วโลก
และ Software Privacy หรือการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
อยู่ที่อันดับ56 ของโลกเท่ากับปีที่แล้ว ถือเป็น 2 ปัจจัยหลัก
ที่ควรปรับปรุงและพัฒนาให้มากขึ้น ส่วนด้าน Financial Service คนไทยนิยมใช้ดิจิทอลมากขึ้น แต่หากยังคงนิ่งอยู่ในจุดเดิม อาจถูกประเทศอื่นแซงหน้าแซงหน้า
“ไทยมีจุดแข็งเรื่องการเข้าถึงบอร์ดแบรนด์
เข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ง่าย
โดยเฉพาะการเข้าถึงบอร์ดแบรนด์ผ่านทางสมาร์ทโฟนไทยเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่คนไทยกลับมีส่วนร่วมทางโซเชียลน้อยมาก
และยังมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์สูง ความเป็นรัฐบาลดิจิทัลยังสู้ประเทศอื่นได้ยาก
และทักษะด้านดิจิทัลยังต่ำ จึบต้องพัฒนาบุคลากรในโลกยุคดิจิทัล
เพื่อทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยขยับขึ้น”
นายดนุวัศ กล่าว
ส่วนกรณีการใช้โซเชียลมีเดียของนายกรัฐมนตรี
สามารถนำมาเป็นช่องทางสร้างการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มากขึ้น หากใช้ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
นำไปสู่การขยายผลแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างแท้จริง เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการเกิดการปฏิรูปการเมือง
ที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติดิจิทัลขึ้นแล้ว แต่หากหวังเพียงเพื่อสร้างกระแสหรือสร้างสีสันการเมือง
การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร.-สำนักข่าวไทย