สุราษฎร์ธานี 21 มิ.ย. – ตำรวจบุกรวบสามีภรรยา “มนุษย์ร้อยชื่อ” อ้างตัวเป็นตำรวจ โทรเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ในเมืองท่องเที่ยวทางภาคใต้ ผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อกว่า 2,000 ราย
ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำกำลังเข้าจับกุมนายสุชาติ หรือหนุ่ม อายุ 41 ปี ชาวอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และน.ส.สุพัตรา อายุ 24 ปี ภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดเกาะสมุย ในข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยจับกุมได้ในพื้นที่ อำเภอโนนสัง จ.หนองบังลำภู ก่อน ควบคุมตัว ข้ามเรือกลับมาสอบปากคที่ สภ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เนื่องจากเป็นท้องที่เกิดเหตุ เพราะมีผู้ประกอบการเกาะพงันตกเป็นเหยื่อหลายราย ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลจังหวัดสมุยต่อไป
คดีนี้ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ รองผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า นายสุชาติ และ น.ส.สุพัตรา สามีภรรยาคู่นี้ มีพฤติการณ์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นตำรวจสังกัดภูธรภาคเกือบทุกภาคทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจ เช่น ตำรวจสันติบาล ตำรวจน้ำ ตำรวจ ปคม. ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โทรไปเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการ ในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ กว่า 2,000 ราย

และมักจะใช้ชื่อ สารวัตรวัฒน์ หรือ สารวัตรศักดิ์ สารวัตรชาติ พูดจาหลอกล่อโน้มน้าว ขอรับเงินสนับสนุน เช่น การจัดเลี้ยงของหน่วยในเทศกาลต่างๆ การเดินทางไปตรวจราชการ ขอสนับสนุนเงินเป็นค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง รวมถึงขอยืมเงินแบบส่วนตัว และยังมีการพูดจากในเชิงข่มขู่ว่าธุรกิจที่ทำอยู่ หมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย ทำให้ประชาชนทั้งชาวไทย และต่างชาติหลายราย หลงเชื่อเข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจริง โอนเงินเข้าบัญชีม้าตามที่ผู้ต้องหามอบให้ ซึ่งก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว มากกว่า 10 ปี หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีปลายทางรับโอนเงิน จึงเชิญตัวมาสอบสวน ซึ่งให้ข้อมูลว่า นายสุชาติ และ น.ส.สุพัตรา เป็นคนสั่งการ โดยหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นการขอส่วนตัวของผู้ต้องหาเอง
เบื้องต้น พบความเสียหายรวมๆ หลักล้านบาท โดยจะได้เงินจากผู้เสียหายเฉลี่ยรายละ 5,000-20,000 บาท พร้อมฝากถึงผู้เสียหายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีนโยบายโทรไปขอรับการสนับสนุนจากประชาชน หรือภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการใด เพราะจะเป็นการซ้ำเดิมสร้างภาระให้กับประชาชน ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ทั้งนี้ ตรวจสอบประวัติ นายสุชาติ หรือหนุ่ม พบว่าเมื่อปี 2561 ถูกตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา จับกุมในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตัวเป็นผู้อื่น และ ในปีเดียวกัน ก็ถูกหลายหน่วยจับกุมในข้อหาเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง แต่เมื่อพ้นโทษออกมา ก็จะก่อเหตุในลักษณะซ้ำซากแบบไม่เข็ดหลาบ และ ลักษณะการก่อเหตุของผู้ต้องหา คล้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตือนประชาชนควรจะตระหนัก โดยใช้หลักการเดียวกัน คือ ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน โดยควรโทรเช็กหน่วยงานที่มีการอ้างถึงก่อน สุดท้ายขอเบอร์ ขอรายละเอียดไว้ และนำมาโรงพักใกล้บ้าน หรือโทร 191 เพื่อตรวจสอบว่าเบอร์ดังกล่าวเป็นเบอร์หน่วยงานต่างๆ หรือบัญชีของใคร เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ.-สำนักข่าวไทย