ม.ค.68 ธุรกิจตั้งใหม่พุ่งกว่า 8.8 พันราย จดเลิกลดลง  

นนทบุรี 25 ก.พ. – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย ม.ค.68 ธุรกิจตั้งใหม่พุ่งกว่า 8.8 พันราย จดเลิกลดลง ต่างชาติลงทุนในไทย 103 ราย มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 223% ขณะที่ “ธุรกิจความงาม” ติดดาวเด่น โกยรายได้กว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี โตตามเทรนด์รักสุขภาพ ปรับลุคให้ดูดี เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า อิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าวิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมกราคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,862 ราย เพิ่มขึ้น 4,485 ราย (102%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (4,377 ราย) และทุนจดทะเบียนรวม 24,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,056 ล้านบาท (8.98%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (22,895 ล้านบาท) ในเดือนนี้มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท ประกอบกิจการ ผลิต จำหน่าย ส่งออก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 691 ราย ทุน 1,423 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 612 ราย ทุน 2,039 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 336 ราย ทุน 731 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.80%, 6.91% และ 3.79% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ

การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,431 ราย ลดลง 4,634 ราย (-76.41%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (6,065 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,601 ล้านบาท ลดลง 30,501 ล้านบาท (-86.89%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (35,102 ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการที่ทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียน 1,568 ล้านบาท ประกอบกิจการนำเข้าและส่งออก ยารักษาโรค เภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ทุกชนิด สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 151 ราย ทุนเลิก 264 ล้านบาท 2) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 58 ราย ทุนเลิก 178 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 52 ราย ทุนเลิก 158 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.55%, 4.05% และ 3.64% ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ


ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,973,692 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.54 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 929,377 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.32 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 732,081 ราย หรือ 78.77% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.30 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 195,813 ราย หรือ 21.07% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด  1,483 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.59 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 501,709 ราย ทุนจดทะเบียน 12.98 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 304,831 ราย ทุน 2.52 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 1.23 แสนราย ทุน 6.83 ล้านล้านบาท คิดเป็น 53.98%, 32.80% และ 13.22% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ

คาดการณ์ในไตรมาสแรกของปี 2568 จะมีธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งใหม่อยู่ที่ 27,000-28,000 ราย คิดเป็น 30% ของยอดจดทะเบียนทั้งปี และตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ราว 90,000-95,000 ราย โดยอัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการเลิกธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 พบว่าอยู่ที่ 6:1 ซึ่งถือว่ามีการจัดตั้งใหม่ที่เติบโตสูง ขณะที่การเลิกยังต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนเฉลี่ย ปี 2567 อยู่ที่ 4:1 และ 5 ปี ย้อนหลัง (2562-2566) อยู่ที่ 3:1 แสดงให้ถึงแนวโน้มที่ดีของภาคธุรกิจในปี 2568

สำหรับการลงทุนของชาวต่างชาติ ประจำเดือนมกราคม 2568 มีการการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 103 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 21 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 82 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,160 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากมกราคม 2567 จำนวน 49 ราย (91%) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 15,990 ล้านบาท (223%) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 7 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สูงสุด เงินลงทุน 8,880 ล้านบาท รองลงมาสหรัฐอเมริกา เงินลงทุน 971 ล้านบาท และ จีน เงินลงทุน 3,925 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เยอรมนี


สำหรับในพื้นที่ EEC มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนจำนวน 29 ราย คิดเป็น 28% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 12 ราย (71%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 12,329 ล้านบาท คิดเป็น 53% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังได้จัดทำข้อมูลธุรกิจเพื่อวิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ และเฟ้นหาธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตามอง พบว่า ธุรกิจความงาม มีแนวโน้มการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่และมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องใน 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจความงามอยู่ 6,621 ราย ทุนจดทะเบียน 190,160 ล้านบาท หากย้อนไปปี 2563 มีการจัดตั้งนิติบุคคลในธุรกิจนี้ 527 ราย/ปี และก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2566 มีการจัดตั้งใหม่จำนวน 1,161 และ ปี 2567 จัดตั้ง 1,135 ราย 

ขณะที่วิเคราะห์เชิงลึก 3 ปี ย้อนหลัง (2564-2566) สามารถสร้างรายได้ที่สูงเฉลี่ยกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี ประกอบด้วย ปี 2564 รายได้ 304,724 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 354,823 ล้านบาท และปี 2566 รายได้ 363,145 ล้านบาท ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทยพบว่า มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 2,799 ล้านบาท โดยสัญชาติที่ลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ มาเลเซีย 201 ล้านบาท จีน 182 ล้านบาท และสิงคโปร์ 94 ล้านบาท การเติบโตของธุรกิจความงามเป็นผลมาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดค่านิยมทางสังคมที่ซึมซับมาจากโซเชียลมีเดียที่นำเสนอเรื่องราวการดูแลตนเอง ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีบุคลิกที่ดูดี จึงเป็นจุดโน้มน้าวให้ผู้ติดตามต้องการปรับภาพลักษณ์ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณของตัวเองให้ดูดีขึ้น และสังคมเปิดกว้างกับทำศัลยกรรมมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีวิวัฒนาการมากขึ้น การนำนวัตกรรมด้านความงามมาให้บริการในราคาที่ถูกลง เจ็บน้อยลง แผลเล็กลง และการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง จึงทำให้ลูกค้าไม่ได้จำกัดแค่เพียงผู้หญิงเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังขยายลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ชาย กลุ่ม Gen Z ที่เริ่มเข้าสู่สังคมการทำงาน ผู้สูงอายุที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการชะลอวัย และลูกค้าต่างชาติที่จะเข้ามาใช้บริการ จึงเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยประเภทธุรกิจความงามที่ต้องรีบคว้าไว้.-516-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดชื่อ “73 อรหันต์” ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ประชุมนัดแรก 9 มิ.ย.

รัฐสภา 31 พ.ค. – เปิดชื่อ “73 อรหันต์” ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69 ประชุมนัดแรก 9 มิ.ย.นี้ เคาะประธาน-รองประธาน วางกรอบการทำงาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 73 คน ประกอบด้วย สัดส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 18 คน คือ 1. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง 2. นายจักรพงษ์ แสงมณี 3. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง 4. นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม 5. นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ 6. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ […]

สภาวุ่น! งูเห่าไทยสร้างไทย เสนอชื่อ กมธ.งบฯ แข่ง

รัฐสภา 31 พ.ค.- สภาวุ่น! งูเห่าไทยสร้างไทย เสนอชื่อ กมธ.งบฯ แข่ง ประธานสั่งพักประชุม 5 นาที สุดท้ายงูเห่ายอมถอย ไปอยู่สัดส่วน ครม.แทน การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลังที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติพิจารณางบประมาณรายจ่ายงบประมาณ 2569 ในขั้นตอนการเสนอชื่อกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 73 คน ในสัดส่วนของพรรคไทยสร้างไทย จำนวน 1 คน โดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน และ สส.พรรคประชาชน ได้เสนอชื่อ นายชัชวาล แพทยาไทย ขณะที่นางสุภาพร สลับศรี สส.พรรคไทยสร้างไทย นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ทำให้เกิดการประท้วงกันเนื่องจากมีการเสนอชื่อ 2 คน แต่ปกรณ์วุฒิ ยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทยมีหนังจากกรรมการบริหารพรรคว่าจะเสนอชื่อนายชัชวาล เป็นตัวแทนของพรรคทำให้นายฐากูร ยืนยันว่าที่ผ่านมาการเสนอชื่อบุคคลเป็นกรรมาธิการวิสามัญจะต้องถูกเสนอโดยคนของพรรคตัวเอง ไม่ใช่พรรคอื่น ซึ่งวันนี้พรรคไทยสร้างไทยเสนอชื่อตน แต่พรรคการเมืองอื่นเป็นเสนอชื่ออีกคน ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ประธานในที่ประชุม วินิจฉัยว่า ใครจะเป็นผู้เสนอชื่อก็ได้ขอแค่มีผู้รับรอง ก่อนจะให้เวลาทั้ง 2 ฝ่ายหารือกัน […]

“ชาดา” ปลุกรัฐบาล ถ้าไม่แจกเงินหมื่น “นายกฯ เท้ง” มาแน่

รัฐสภา 31 พ.ค.-“ชาดา” ปลุกรัฐบาล ถ้าไม่แจกเงินหมื่น “นายกฯ เท้ง” มาแน่ ลั่นถ้าทำให้นายกฯ ไม่ได้ ก็เปลี่ยนตัว เอาคนอื่นไปนั่งแทน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วาระร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นายชาดา กล่าวว่าในฐานะที่อยู่ในสภาฯ มาพอสมควร ขอชื่นชมฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมีการพัฒนาในการอภิปรายอย่างมาก ปี 69 มีงบประมาณลงทุน 7 แสนล้านบาท คนพูดกันตลอดเวลาว่าทำไมช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยในประเทศนี้จึงห่างขึ้นทุกวัน ยกตัวอย่าง ในงบลงทุนเป็นงบก่อสร้าง 4.75 แสนล้านบาท ซึ่งงบก่อสร้างไม่เหมือนในอดีตเพราะต้องถูกตัดไปให้ธนาคาร 5% จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูเพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน ในจำนวนนี้มีค่าธรรมเนียม 2.5% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเร่งรัดการเบิกจ่ายอีก 15% ซึ่งธนาคารตัดไป 3% และคิดค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก นายชาดา กล่าวว่างบก่อสร้าง มีเครื่องจักรเหล็กหินวัสดุที่เป็นปูน หากเป็นงานถนนมีแรงงานเพียง 15% เงินส่วนนี้ไม่ได้ไปสู่ระบบข้างล่าง […]

ฝากขังพระเอกลิเกฆ่าลูกเลี้ยงป่วยออทิสติก

นครราชสีมา 30 พ.ค. – ตำรวจคุมตัวพระเอกลิเกฆ่าลูกเลี้ยงป่วยออทิสติก และขืนใจลูกวัย 11 ขวบ ฝากขังศาลจังหวัดนครราชสีมา อ้างวันเกิดเหตุถูกผู้ตายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความโมโหและมึนเมาสุรา จึงก่อเหตุ ความคืบหน้ากรณีพ่อเลี้ยงพระเอกลิเกสุดโหดใช้ค้อนสำหรับทุบหมู ทำร้ายลูกเลี้ยงนางเอกลิเกที่ป่วยเป็นโรคออทิสติก จนบาดเจ็บเลือดคั่งในสมอง ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครราชสีมาบุกรวบตัวผู้ต้องหาคือ นายกิติทัช อายุ 48 ปี พระเอกลิเกชื่อ “รักยิ้ม ทับทิมสยาม” พ่อเลี้ยง ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เมื่อคืนที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ขณะผู้ต้องหากำลังเตรียมหลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก่อนจะควบคุมตัวมายังสถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา เพื่อสอบปากคำ เช้าวันนี้ (30 พ.ค.) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา คุมตัวผู้ต้องหามาสอบสวนขยายผล จนผู้ต้องหา ยอมให้การรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง อ้างว่าในวันเกิดเหตุถูกผู้ตายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความโมโห พร้อมกับมีอาการมึนเมาจากการดื่มสุรา จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา “ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย” ส่วนข้อหากระทำอนาจารต่อลูกสาววัย 11 ขวบ ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐาน หากตรวจพบหลักฐานที่ชัดเจนจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังศาลจังหวัดนครราชสีมา […]

ข่าวแนะนำ

วิวคว้าแชมป์

“วิว-บาส-เฟม” คว้าแชมป์แบดฯ สิงคโปร์ โอเพ่น

1 มิ.ย. – “วิว กุลวุฒิ” ตบชนะ ลู กวาง ซู จากจีน 2 เกมรวด คว้าแชมป์ชายเดี่ยวแบดมินตันสิงคโปร์ โอเพ่น ส่วน “บาส-เฟม” คว้าแชมป์คู่ผสมมาครองได้สำเร็จ แบดมินตัน ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 รายการ สิงคโปร์ โอเพ่น ที่ประเทศสิงคโปร์ ประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักของไทยคนแรกที่ขึ้นมือ 1 ของโลก ตบเอาชนะ ลู กวาง ซู จากจีน 2 เกมรวด 21-6 , 21-10 คว้าแชมป์ไปครอง พร้อมฉลองแชมป์ ก่อนขึ้นมือ 1 ของโลกอย่างทางการในสัปดาห์ในการประกาศจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) และยังเป็นแชมป์ที่ 4 ในปีนี้ของ “วิว” […]

“วิว กุลวุฒิ” นักแบดชายเดี่ยวไทยคนแรก ขึ้นเป็นมือ 1 โลก

สิงคโปร์ 1 มิ.ย.-“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ มือ 2 ของโลก ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ แบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 พร้อมจะขยับขึ้นเป็นมือ 1 โลกชายเดี่ยว เป็นคนแรกของไทย ผลการแข่งขัน แบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 33 ล้านบาท ที่สิงคโปร์ ประเภทชายเดี่ยว รอบรองชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 2 ของโลก และเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก “ปารีสเกมส์ 2024” ตบเอาชนะ หลิน ชุนยี่ มือ 19 ของโลก จากไต้หวัน 2-0 เกม 21-11 […]

นายกฯ โพสต์แสดงความยินดี “โอปอล-วิว” สร้างประวัติศาสตร์ไทย

ทำเนียบฯ 1 มิ.ย. – นายกฯ โพสต์แสดงความยินดีกับ “โอปอล สุชาตา” คว้ามงกุฎมิสเวิลด์ 2025 คนแรกของประเทศไทย และ “วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์” สร้างประวัติศาสตร์นักแบดมินตันชายเดี่ยวไทยคนเเรกขึ้นมือ 1 โลก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์แสดงความยินดีกับคุณโอปอล สุชาตา มิสเวิลด์ 2025 คนแรกของประเทศไทย และคุณวิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทยที่ขึ้นมือ 1 โลกอย่างไม่เป็นทางการค่ะ ทั้ง 2 ข่าวใหญ่ในวันนี้สร้างความภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ ด้วยความพยายาม ความมุ่งมั่น ของคุณโอปอล และคุณวิว ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้คนไทยทั้งประเทศ ความสำเร็จของทั้ง 2 ท่านในวันนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ เยาวชนและคนไทยค่ะ 🇹🇭❤️#โอปอลสุชาตา #วิวกุลวุฒิ #MissWorldThailand .-314-สำนักข่าวไทย

ซ้อมเสมือนจริง

ผบ.กกล.บูรพา ตรวจความพร้อมรบ เสริมศักยภาพป้องกันชายแดน

สระแก้ว 1 มิ.ย. – ซ้อมเสมือนจริง “ผบ.กกล.บูรพา“ ตรวจความพร้อมรบ เพื่อให้พร้อมรองรับภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่ชายแดน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (31 พ.ค.) ที่บ้านหนองสังข์ ต.หนองสังข์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผบ.พล.ร.2 รอ. ในฐานะ ผบ.กกล.บูรพา เป็นประธานตรวจสภาพความพร้อมรบตามระเบียบปฏิบัติประจำของหน่วยเฉพาะกิจกองพันทหารราบยานเกราะ (ร.12 พัน.2 รอ.) หลังจากที่ได้ดำเนินการ เคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เข้าสู่ที่รวมพล บริเวณกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 126 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ ปฏิบัติภารกิจของหน่วยเมื่อได้รับมอบจากหน่วยเหนือ โดย ผบ.พล.ร.2รอ./ผบ.กกล.บูรพา ได้เน้นย้ำสั่งการในเรื่องการรักษาระเบียบวินัยของกำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่ การแสดงภาพลักษณ์ที่ดี แสดงกำลังให้ประชาชนในพื้นที่ เชื่อมั่นในการรักษา ปกป้อง ประเทศชาติ และให้ใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชา ในสายการบังคับบัญชาของตนเอง ในทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผสมผสานกับความเป็นผู้นำ และให้เตรียมความพร้อมของกำลังพลที่พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่เมื่อได้รับภารกิจจากหน่วยเหนือ.-313-สำนักข่าวไทย